Powered By Blogger

06-12-2012

ได้ฟังข่าว เค๊าว่าเด็กรุ่นใหม่ยุค 2000 นี้ไฟแรงมาก แต่ขาดความอดทน เด็กรุ่นใหม่มีไอดีที่ดี และความรู้ดี เนื่องมาจากประเทศเรากำลังพัฒนา เด็กไทยเราตัวโตขึ้น มีการศึกษาดีขึ้น แต่ขาดความอดทน ดังนั้นเราจึงต้องขยันสู้ๆ สู้ต่อไปนะ อำนาจ.....อย่าหยุด และปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ


วันนี้ ได้เอาเทมเพลต ของมุตตาฟา และของคุณยอดมายัม ให้ใช้ได้ดีกับตัวเอง มันมีมากมากมากแต่ยังหาที่เหมาะกับตัวเองไม่เจอ คงต้องเสียค่าเล่าเรียนอีกนาน แต่ผมก็ยังไม่หยุดจนกว่าจะเลยปี58 แล้วผมยังไม่ประสบความสำเร็จด้านนี้ ผมก็ยังไม่ยอม..แพ้ใจ แพ้ร่างกาย...และแพ้ตัวเอง สู้ว้อยยยยย

02-11-2012

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นการวิคราะห์ ภาวะทางเศรษฐกิจ การเมืองและภาวะอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังศึกษาผลประกอบการ เช่น อัตราการเติบโตในอดีตเพื่อคาดคะเนแนวโน้มในอนาคต แล้วนำมาประเมินราคา ว่าควรมีราคาเท่าใด เทียบกับราคาในตลาดเป็นอย่างใด ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าควรปฏิบัติอย่างไร

ตัวเลขเศรษฐกิจ ที่มีอิทธิพลต่อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ มีดังนี้
1. Non-Farm Employment Change (ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร)

2. Consumer Price (อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภค)

3. Retail Sales (ตัวเลขค้าปลีก)

4. Consumer Confidence (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค)

5. ISM Manufacturing (ดัชนีวัดการผลิตภาคอุตสาหกรรม)

ผลสรุป ตัวเลขเศรษฐกิจที่ตลาดได้ให้ น้ำหนัก และ มีผลต่อความผันผวนมากที่สุด คือตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการ เกษตร (Non-Farm Employment Change) และ อัตราว่าง งาน (Unemployment rate) โดยพิจารณาจากทั้งความผันผวน ของ VIX Index และ ดัชนีดาวโจนส์

18-11-2012

  การเอาชนะตัวเอง ทำตัวเองให้ได้ตามเป้าหมายนี่มันยากจริงๆในช่วงเริ่มต้น ผมเชื่อมั่นว่าผมต้องทำได้ถึงแม้ว่ามันจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่ผมก็ได้ทำ......
ต่อไปนี้เป็นบทแปลและเข้าใจเอาเอง เป็นทริป แปลจากต่างประเทศอาจถูกบ้างไม่ถูกบ้างขออภัยครับ
- อย่าโลภ
- อย่าเยอหยิ่ง ทนงตน
- อย่าจำกัด ความเสี่ยงถ้าชัวน์ จัดหนัก โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยๆ ไม่ไหวก็ คัตลอสสส
- อย่าคิดมากจนเกินไป มันไม่ดีสำหรับตัวเอง
- อย่าสับสนในข่าว อินดี้ สมาธิ และการคิดวิเคราะห์ตามระบบที่ดีเท่านั้นที่อยู่รอด พลาดก็ออก
- อย่าซื้อขายบ่อย ทั้งวัน
- ............................
-

What is a Pin Bar?
The actual pin bar itself is the middle bar of a three-bar formation that can be found on any stripped down “naked” bar chart or candlestick chart. We will cover the candlestick pin bar formation after our discussion of the pin bar formation using standard bar charts. Many people prefer the candlestick version over standard bar charts because it is generally regarded as a better visual representation of price action.

บาร์ Pin คืออะไร?

บาร์ขาจริงตัวเองเป็นบาร์กลางของการก่อตัวสามบาร์ที่สามารถพบได้เมื่อใดปล้นลง "เปล่า" แผนภูมิแท่งหรือแผนภูมิแท่งเทียน เราจะครอบคลุมการก่อเทียนบาร์ขาหลังจากการอภิปรายของเราสร้างบาร์ขาใช้แผนภูมิแท่งมาตรฐาน หลายคนชอบรุ่นเทียนมากกว่าแผนภูมิแท่งมาตรฐานเพราะมันได้รับการยกย่องในฐานะตัวแทนภาพที่ดีขึ้นของการเคลื่อนไหวของราคา




งง ครับ  
 
















 555


16-11-12

เมื่อวานเป็นวันเกิด มันก็คือวันๆหนึ่งที่เราเกิดตรงกะใครหลายๆคน เหอะๆ

หุ้นถูก หุ้นแพงดูยังไง?
วิธีง่ายๆคือให้ เปรียบเทียบP/E และ constant growth rate
หุ้นที่P/E19 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 25% มันคือหุ้นถูก
หุ้นที่P/E7 อนาคตเติบโตเฉลี่ย 5% มันคือหุ้นแพง
หุ้นที่P/E6 กำไรนิวไฮ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์นิวไฮ มันอาจเป็นยอดดอย
หุ้นทีP/E50 เต็มไปด้วยข่าว อย่าไปยุ่ง

แล้วเราจะรู้การเติบโตในอนาคตได้ยังไง?
มันก็คือการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในตัวธุรกิจนั้นๆ ซึ่งนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุน ลองอ่านหนังสือการลงทุนแบบเน้นคุณค่ากันดู เช่นตีแตก, รวยได้ด้วยหุ้น, หนังสือของpeter lynch, ตะแกร่งร่อนหุ้น เป็นต้น ให้ดีควรอ่านให้หมดในร้านหนังสือ แล้วนำมาapplyเป็นของตัวเราเอง

13-11-12

ตื่น 4 โมง ของวันที่ 12 เล่นเกมส์ ดูหนัง สับเพเหละ จนถึง เที่ยงคืน จนได้เจอกันหนังเรื่องนึงเป็นเรื่องราวของกลุ่มเด็ก กลุ่มหนึ่ง เรียนมัธยมปลาย และมีความใฝ่ฝัน ที่จะสร้างจรวจ เขาชื่อ โฮเมอร์
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ให้กำลังใจ ดีมาก ว่างๆจะหาลิงค์มาใส่ครับ
 Jake Gyllenhaal กับผลงานก่อนการมาถึงของ Prince of Persia : The Sands of Time

ผมรู้จัก เจค จิลเลนฮาล ครั้งแรกจากหนังเล็กๆเรื่อง October Sky(1999) ผล งานการกำกับของ โจ จอห์นสตัน (Jumanji) ตอนนั้นเจคยังเป็นเพียงนักแสดงวัยรุ่นโนเนมที่แทบไม่เป็นที่รู้จัก ตัวผมเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่หนังเล็กๆที่สร้างจากเรื่องจริงของโฮเมอร์ ฮิคแคม วิศวกรและที่ปรึกษานักบินอวกาศองค์การนาซ่า ที่เสนอเรื่องราวช่วงที่เขาและเพื่อนๆอีก 3 คนพยายามทดลองสร้างจรวดเพื่อขึ้นไปดวงจันทร์ และต้องล้มลุกคลุกคลานกันหลายหนกว่าจะประสบความสำเร็จ หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นหนังฮิตเล็กๆที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ และเปิดโอกาสให้นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่คนนี้ได้แจ้งเกิด เป็นที่รู้จักมากขึ้น อาจจะไม่ได้โด่งดังถึงขั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่เจคเริ่มมีพื้นที่เล็กๆเป็นของตัวเองแล้วในฮอลลีวู้ด ดินแดนที่คนมากหน้าหลายตา ต่างพยายามตะเกียกตะกายหาพื้นที่เป็นของตัวเองให้ได้ จากหนังเรื่องแรกที่ได้ทำความรู้จักเจค ผมประทับใจหนุ่มมาดนุ่ม ตาสวย หน้าตาดีคนนี้เข้าให้แล้ว






ช่วง ที่ผ่านมานี้มีข่าวนักเรียนไทยหลายคนได้รับเหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิค วิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา หรือฟิสิกซ์ก็ตาม ล้วนแสดงให้เห็นว่านักเรียนไทยไม่ได้ด้อยกว่าชาติอื่นในด้านวิชาการเลย  แต่ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดประเทศเราจึงไม่ค่อยมีสิ่งประดิษฐ์อะไรที่เป็นของตนเองเลย หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเราขาดแรงบันดาลใจหรืออะไรไป

                   พอดีได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับเรื่องที่กล่าวข้างต้น  หนังเรื่องนี้ชื่อ
October Sky ซึ่งสร้างจากชีวิตจริงของวิศวกรชาวอเมริกันชื่อ Homer Hickam แห่งองค์การนาซ่า ที่เติบโตขึ้นในเมืองเล็กๆของรัฐ West Virginia ที่คนทั้งเมืองทำงานอยู่ในเหมืองถ่านหิน

                   โดยในคืนเดือนมืดหนึ่งของเดือนตุลาคม ชีวิตของเด็กหนุ่มที่ชื่อ Homer Hickam ก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อเขาได้เห็นยานอวกาศ Sputnik บินผ่านท้องฟ้าไป  มัน ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างจรวด จรวดที่จะพาชีวิตเขาให้ก้าวขึ้นไป จรวดที่จะพาเขาไปสู่โลกภายนอกที่มีอะไรมากกว่าเหมืองถ่านหิน

                   ใน หนังเรื่องนี้เราจะได้เห็นความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อของเขากับเพื่อนร่วมชั้น มัธยมอีกสามคน ที่ช่วยกันสร้างจรวดเล็กๆให้สามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจนสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ซึ่งนอกจากปัญหาทางด้านเทคนิคที่ต้องหาทางแก้ให้ได้แล้ว ยังมีปัญหาครอบครัวของแต่ละคน รวมทั้งครูใหญ่ของโรงเรียนที่ไม่ให้การสนับสนุน  แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันมันมาได้ในที่สุด

                   นอก จากแรงบันดาลใจและความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่งในความสำเร็จของพวกเขาก็คือ ครูสอนคณิตศาสตร์สาวที่มีวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริงจนวาระสุดท้ายของ ชีวิต โดยไม่นิ่งดูดาย แต่ให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือเด็กเหล่านี้อย่างเต็มที่ เท่าที่ครูชนบทคนหนึ่งจะทำได้




ตอนที่หนังเรื่องนี้ออกให้เช่าในร้านเช่าหนัง มีร้านเช่าขนาดใหญ่ติดป้ายไว้ข้างหนังว่า คุณจะต้องรักหนังเรื่องนี้ หากไม่แล้วเรายินดีคืนเงินให้  เชื่อ ว่าใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะครูและนักเรียน นอกจากจะได้หัวเราะและร้องไห้ไปกับเรื่องราวที่น่าประทับใจแล้ว ยังจะได้แรงบันดาลใจในการทำความฝันที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ตามคำพูดในหนังที่ว่า “Sometimes one dream is enough to light up the whole sky.”                



Homer เมื่อเข้าร่วมประกวดผลงานใน Science Fair, ปี ค.ศ. 1960


เกล็ดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้- ตอนแรกผู้สร้างหนังจะใช้ชื่อเรื่องว่า “Rocket Boys”  (เด็กจรวด??) ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่นำมาใช้สร้างหนัง แต่โชคดีที่ Universal Pictures ทำการสำรวจความคิดเห็นแล้วพบว่า ผู้หญิงที่อายุเกิน 30 จะไม่ดูหนังที่ใช้ชื่อดังกล่าว จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “October Sky”



Homerกับภรรยา Linda และสัตว์เลี้ยง (Paco แมวตัวกลาง เคยได้ทดลองบินกับยาน Columbia ด้วย)

หมายเหตุ
- ในปี ค.ศ. 1957 สหภาพโซเวียตได้ส่งยานอวกาศ Sputnik ขึ้นสู่วงโคจรโลกในวันที่ 4 ตุลาคม
- จากสัมภาษณ์ของ
Homer เขาไม่ใช่คนเก่งเลข แต่ชอบอ่านหนังสือกับวิชาภาษาอังกฤษมาก จนเคยคิดอยากจะเป็นนักเขียน จนกระทั่งตอนเรียนอยู่ม.4 หลังจากได้เห็นยาน Spunik เขาก็อยากเป็นวิศวกรสร้างจรวด ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้เขาตั้งใจเรียนเลข ซึ่งเขาต้องอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ระดับสูงเองจนเข้าใจ เพื่อใช้ในการคำนวณออกแบบจรวด รวมทั้งต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องวัสดุ การเขียนแบบทางวิศวกรรมและอื่นๆด้วย
- คำพูดที่
Homer ชอบและใช้เป็นแรงบันดาลใจเสมอ คือคำพูดของเพื่อนชื่อ O’Dell ที่อยู่ในกลุ่มสร้างจรวดที่ว่า A rocket won't fly unless somebody lights the fuse!" ซึ่งใช้กับสิ่งอื่นๆในชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องจรวดได้ด้วย
-
Homer ได้ปลดเกษียณตอนอายุ 55 จากงานที่องค์การนาซ่า (หลังจากทำงานมาร่วม 30 ปี) เพื่อหันมาเป็นนักเขียนที่เคยไฝ่ฝันไว้ในตอนเด็ก

หลัง October Sky ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเจค ถัดมาอีก 2 ปี เจคเริ่มเติบโตในวงการมากขึ้น แต่การเติบโตของเขาเน้นไปที่การเลือกเล่นหนังอินดี้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเลี่ยงที่จะแสดงหนังตามกระแสฮอลลีวู้ดเหมือนที่ดาราวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยม ทำกัน แม้จะมีหนังที่ทำให้แปลกใจในการเลือกเล่นอยู่บ้างอย่าง Bubble Boy(2001) แต่ เมื่อพิจารณาว่านี่คือหนังวัยรุ่นที่พล็อตเรื่องแปลกประหลาดและแหวกแนวไปจาก หนังวัยรุ่นหวานแหวว ทะลึ่งตึงตังส่วนมากที่นิยมสร้างในช่วงเวลานั้น จึงพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเจคถึงเลือกแสดงในหนังเรื่องนี้


Bubble Boy กำกับโดย แบลร์ เฮนย์ส(ไปทำอะไรอยู่ไหนแล้วไม่รู้) เจครับบทเป็นเด็กหนุ่มที่เป็นโรคประหลาด ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพอากาศปกติอย่างที่คนทั่วไปเขาอยู่กัน เขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านลูกโป่งขนาดยักษ์ที่ปรับสภาพอากาศให้เหมาะสมสำหรับ เขา นั่นจนกระทั่งสาวข้างบ้านที่เป็นทั้งเพื่อนและคนที่เขาแอบปลื้ม ตัดสินใจจะแต่งงาน เขาจึงตัดสินใจออกจากลูกโป่งยักษ์อันนั้น แล้วเข้าไปอยู่ในลูกโป่งเล็กที่คลุมตัวได้เท่านั้น เพื่อเดินทางตามหารักแรกและรักแท้ของตัวเขา หนังเรื่องนี้ไม่ดังนัก คำวิจารณ์ก็ค่อนไปในทางแย่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะชอบเจคหรือเปล่า ผมจึงดูหนังเรื่องนี้ได้เพลินๆ ฮาบ้างเป็นระยะ และพบว่ามันน่ารักกว่าที่คิด แม้จะรู้สึกว่าเคมีระหว่างเจคและนางเอก...ดูไม่ค่อยเข้ากันนักก็ตาม





เจคมาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในหนังอินดี้เรื่องฮิตของเด็กแนว เป็นหนังเรื่องแรกๆที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าหนัง คัลท์ แม้จะไม่เข้าใจว่าความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไรก็ตาม หนังเรื่องที่ว่าคือ Donnie Darko(2001) ผลงานกำกับเรื่องแรกของ ริชาร์ด เคลลี่ แต่ชื่อขายที่แท้จริงของหนังเรื่องนี้ในช่วงต้นคือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ เพราะนอกจากเธอจะเป็นชื่อขายในฐานะดาราที่นำแสดง(ที่ดังที่สุด)แล้ว ดรูว์ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ด้วย บอกตรงๆว่าผมได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งเดียว จากแผ่นลิขสิทธิ์ในร้านเช่าหนัง ทั้งร้านมีแต่แผ่นพากย์ไทยที่พากย์ได้อุบาทว์มากๆอย่างไม่น่าให้อภัย และทำให้ความน่าดูของหนังหายไปมากกว่าครึ่ง ผมจึงสรุปได้ว่าไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในสิ่งที่หนังต้องการสื่อสาร หลังจากนั้นพยายามหาจากร้านอื่นๆ ก็พบว่าหนังเรื่องนี้มีแต่แผ่นพากย์ไทย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น


ครั้งแรกที่ Donnie Darko ออกฉาย หนังได้รับเสียงตอบรับทั้งดีและร้าย การออกฉายครั้งแรกให้ผลลัพภ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่หลังจากออกดีวีดีเวอร์ชั่นไดเร็คเตอร์คัท หนังกลายเป็นที่นิยมของคนดูกลุ่มหนึ่งขึ้นมา จนกลายเป็นกระแสปากต่อปากตามมา และถูกนำกลับมาฉายรอบดึกในโรงหนังอีกครั้ง และเป็นที่นิยมจนสามารถยืนระยะการฉายได้ยาวนานที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว Donnie Darko กลายเป็นงานแจ้งเกิดของทั้งเจคและผู้กำกับริชาร์ด เคลลี่ แต่หลังจากเป็นที่รู้จัก เจคยังคงเดินหน้ากับการรับงานหนังอินดี้ ที่มาพร้อมกับชื่อผู้กำกับที่น่าสนใจ และพล็อตเรื่องที่แตกต่างไปจากหนังส่วนใหญ่ที่ผู้ชมนิยมดู นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในตัวเขามากยิ่งขึ้น


Lovely and Amazing(2001) ผล งานของผู้กำกับหญิง นิโคล โฮลอฟซีเนอร์(Friends with Money) เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้หญิงในครอบครัวหนึ่ง เจครับบทเป็นพนักงานร้านถ่ายรูปที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่อายุมากกว่า อย่าง แคทเธอรีน คีเนอร์(นางเอกเจ้าประจำในหนังทุกเรื่องของ โฮลอฟซีเนอร์) ด้วยความที่นี่คือหนังหญิงๆ ผมเลยรู้สึกเฉยๆกับหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องต่อมาของเจค คือหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากๆ นั่นคือ The Good Girl(2002) ผล งานการกำกับของมิเกล อาร์เตต้า(Chuck & Buck) หนังเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง(รับบทโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน)ที่เบื่อหน่ายกับชีวิตครอบครัวที่สามี(จอห์น ซี รีลลี่)ดูจะสนใจเรื่องอื่นมากกว่าตัวเธอ เมื่อเธอได้เจอเด็กหนุ่ม(ที่รับบทโดยเจค)ที่เป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเธอ ทำให้ความรู้สึกของเธอซู่ซ่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ความสัมพันธ์ที่เกินเลยนั้น จะทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


แม้สุดท้ายคนที่ได้รับความดีความชอบไปเต็มๆจากหนังเรื่องนี้คือ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน แต่บรรดาดารารอบข้างเธอทั้งเจค,รีลลี่ และสาวตาโตซูอี้ เดสชาแนล(ในผลงานชิ้นแรกที่ผมได้ทำความรู้จักเธอ และมาเพื่อโขมยทุกซีน) ก็คือแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยทำให้หนังดีๆเรื่องนี้ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไปอีก(หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรัก เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยชอบเธอเลย) เจคยังคงได้ใจผมไปอย่างต่อเนื่อง ในผลงานชิ้นถัดมาของเขาคือ Moonlight Mile(2002) ผลงานการกำกับของ ริชาร์ด ซิลเบอร์ลิง(Casper) นี่คือหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมที่สุดในใจผมตลอดกาล(ติด 10 อันดับแรกแน่นอน)





หนังเรื่องนี้เจคได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับตำนานอย่างดัสติน ฮอฟแมน,ซูซาน ซาแรนดอน,ฮอลลี่ ฮันเตอร์ รวมทั้งเป็นหนังที่ทำให้ผมตกหลุมรัก(อีกแล้ว)เอลเลน ปอมปีโอ นางเอกของหนังเรื่องนี้(รู้สึกจะตกหลุมรักนางเอกเจคทุกคน) ทั้งที่ตอนแรกรู้สึกว่าทำไมนางเอกดูแก่กว่าพระเอกจัง(วะ) แต่หลังจากที่ตัวละครนางเอกออก ผมว่าเธอทำให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตมากยิ่งขึ้น ดูจริงขึ้น ถึงขึ้นที่น่าจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ได้เลย(หนังเรื่องนี้ ออกฉายก่อนที่เธอจะเป็นที่รู้จักของคอซีรี่ย์จากบทด็อกเตอร์เกรย์ใน Grey’s Anatomy)


เรื่องนี้เจครับบท โจ แนช(เป็นชื่อตัวละครที่จำได้แม่นที่สุดในทุกบทที่เจคเล่น) นักศึกษาหนุ่มที่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่สุดท้ายงานแต่งต้องถูกยกเลิกเพราะว่าที่เจ้าสาวถูกยิงตาย และเรื่องราวหลังจากนั้นคือการพยายามทำใจ การพยายามเริ่มต้นใหม่หลังการสูญเสียของผู้เกี่ยวข้องทุกคน ฮอฟแมนและซาแรนดอนรับบทเป็นพ่อและแม่ของว่าที่เจ้าสาว ที่มาถึงตอนนี้พยายามจะทำให้ว่าที่ลูกเขย กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แทนลูกสาวที่จากไป ฮันเตอร์เป็นทนายความที่ว่าความให้ครอบครัวนี้ และปอมปีโอเป็นพนักงานไปรษณีย์ที่มีบาดแผลจากการรอคอยคนรักที่หายสาปสูญไป เมื่อเธอได้พบตัวละครที่เจครับบท มันเหมือนตัวละครทั้งสองเป็นทั้งเงาสะท้อนและส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน ก่อนที่ทุกคนจะได้ค้นพบคำตอบของคุณค่าแห่งการมีชีวิต และเติบโตจากเหตุการณ์ความสูญสียที่เกิดขึ้น นี่คือหนังของเจคที่ผมดูบ่อยมากไม่ต่ำกว่า 10 รอบแน่ๆ และอิ่มเอมใจ ตื้นตันใจทุกครั้งที่ได้ดู เจครับบทผู้ชายที่กำลังค้นหาตัวตนที่หายไปของตัวเองได้ดีมากๆ ผ่านแววตาที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา


เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับและเขียนบท ซิลเบอร์ลิง บอกว่านี่คือหนังที่เป็นอัตชีวประวัติส่วนตัวของเขาเอง และส่วนสำคัญที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นคือ เพลงประกอบเกือบทุกเพลงที่แสนจะไพเราะ และเข้ากับตัวหนังอย่างที่สุด หลังแสดงหนังอินดี้ที่น่าสนใจ แต่ไม่เปรี้ยงปร้างมากนัก หนังเรื่องต่อมาที่เจคแสดง น่าจะช่วยทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนดูในวงกว้างได้มากขึ้น เพราะมันคือหนังพิบัติภัยฟอร์มใหญ่จากผู้กำกับ ID4 โรแลนด์ เอ็มเมอร์ริช เรื่อง The Day After Tomorrow(2004) หนังที่ถ้าไม่ได้ดู บอกตรงๆว่านึกภาพไม่ออกว่าหนุ่มจ๋องๆอย่างเจค จะเล่นหนังแนวนี้ได้อย่างไร





The Day After Tomorrow เจครับบทเป็นลูกชายของ เดนนิส เคว็ด ผู้เชี่ยวชาญด้านพิบัติภัยที่เป็นหนึ่งในผู้ค้นพบว่า โลกกำลังดำเนินมาถึงกาลอวสานในเร็ววันนี้ ส่วนเจคที่รับบทเป็นลูกชายของเคว็ดที่เดินทางไปอีกซีกประเทศ ก็กำลังถูกถล่มด้วยพายุหิมะขนาดใหญ่ และเป็นหน้าที่ของพ่อที่ต้องไปตามตัวลูกชาย ให้กลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ บอกตรงๆนี่คือหนังพิบัติภัยที่จืดชืด ไร้ซึ่งฉากลุ้นระทึกให้ตื่นเต้น แทบไม่มีคนตาย แต่หนังมีข้อดีที่ทดแทนได้คือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กที่ทำได้เนียนมากๆ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องนี้เจคหล่อมาก และจับคู่กับนางเอกที่สวยได้คู่ควรที่สุดอย่าง เอ็มมี่ รอสซั่ม(แต่ผมไม่ตกหลุมรักเธอนะ)


หลังหนังฟอร์มยักษ์ เจคกลับไปหาหนังฟอร์มเล็กๆที่เขาคุ้นเคย แต่มีชื่อผู้กำกับที่ใหญ่ยิ่งกว่าหนังฟอร์มใหญ่หลายๆเรื่อง เริ่มจากหนังที่ส่วนตัวผมคิดว่าบทที่ได้รับเมาะเหมาะกับเขามากๆนั่นคือ Brokeback Mountain(2005) ที่ ว่าเหมาะเพราะหน้าเขาดูว้านหวาน เหมาะกับการเล่บบทเกย์มากๆ ผลงานกำกับของอังลี(Crouching Tiger, Hidden Dragon) เรื่องนี้ขอไม่กล่าวถึง เพราะคิดว่าทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ขอกล่าวสั้นๆเพียงว่านี่คือหนังที่ทำให้เจคได้รับรางวัล บาฟต้า ออสการ์ของอังกฤษ และได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ส่วนตัวขอบอกว่าไม่ค่อยอินกับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ ชอบเจคในหนังเรื่องอื่นมากกว่า





เจคได้ร่วมงานกับผู้กำกับเครดิตออสการ์อย่างต่อเนื่อง ผลงานเรื่องต่อมาของเขาคือ Proof(2005) ที่ เขารับบทชายหนุ่มลึกลับที่เข้ามาพัวพันในชีวิตนางเอก กวินเน็ธ พัลโทรว์ ในช่วงที่เธอกำลังสับสนในชีวิตสุดๆ เรื่องนี้เจคได้แสดงกับนักแสดงระดับฝีมือหลายท่านเลย ทั้งพัลโทรว์(ที่เหมือนจะแก่กว่าเจคสักรอบหนึ่ง น่าจะเหมาะเป็นพี่สาวน้องชายมากกว่า),แอนโธนี่ ฮ็อปกินส์(จำไม่ได้ว่าได้เข้าฉากด้วยกันไหม)และโฮ้ป เดวิส หนังเรื่องนี้กำกับโดย จอห์น แมดเด็น จาก Shakespeare in Love ส่วนตัวชอบฉากที่เจคตีกลองมากๆ มันดูแมนดี


Jarhead(2005) ผลงานกำกับของ แซม เมนเดส จาก American Beauty มีคนกล่าวว่านี่คือหนังสงครามแนวชีวิต เพราะตลอดทั้งเรื่องมีแต่ฉากการฝึก ไม่มีฉากรบพุ่งแต่อย่างใด(เรื่องนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ดู ทั้งที่ได้แผ่นมากองไว้นานแล้ว อาจจะเพราะไม่ใช่แนวหนังที่อยากดูก็เป็นได้) หลังแสดงหนังสงคราม เจคเปลี่ยนบรรยากาศมาแสดงในหนังแนวสืบสวนสอบสวนปนระทึกขวัญ ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง ผ่านการเล่าเรื่องของนักข่าวหนุ่มที่เจครับบทนั้น หนังเรื่องที่ว่าคือ Zodiac(2007) หนังที่กำกับโดยผู้กำกับมหัศจรรย์ เดวิด ฟิชเชอร์(Se7en,Fight Club,The Curious Case of Benjamin Button) หนังเน้นเรื่องการสืบสวนมากกว่าจะเน้นความตื่นเต้น แต่ขอบอกว่าฉากตื่นเต้นฉากหนึ่งในเรื่อง ผู้กำกับทำได้ถึงมากๆ ทั้งๆที่เราก็รู้แล้วว่าตัวละครไม่ตาย เพราะเขาเป็นตัวละครที่เล่าเรื่อง ต้องขอบอกว่าเดวิด ฟิชเชอร์ท่านเก่งมาก มหัศจรรย์จริงๆ





ผลงานสองเรื่องก่อนหน้า Prince of Persia : The Sands of Time หนุ่มเจคก็ยังคงร่วมงานกับผู้กำกับระดับออสการ์เช่นเดิม เรื่องแรกคือ Rendition(2007) ที่ กำกับโดย เกวิน ฮู้ด เจ้าของออสการ์สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมจาก Tsotsi หนังเรื่องนี้เจคได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือหลายท่าน ทั้งรีส วิทเธอร์สปูน(ที่ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน),เจ้าป้าเมอรีล สตรีพ,อลัน อาร์กิ้น และ(พี่เขยในชีวิตจริง)ตี๋ฝรั่ง ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด หนังเรื่องนี้ทำรายรับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งที่ฟอร์มดีมากๆ ดาราก็ดีเลิศ กระแสบอกว่าเพราะคนดูไม่อยากดูหนังที่เล่นประเด็นสงครามอิรักอีกแล้ว จึงพร้อมใจกันเมินใส่หนังแนวนี้ทุกเรื่องที่ออกฉายช่วงนั้น(เจ้าป้าเล่นหนัง แนวนี้อีกเรื่องในช่วงไล่เลี่ยกันคือ Lions for Lambs ที่แม้จะมีชื่อขายทั้งโรเบิร์ต เรดฟอร์ด,ทอม ครูซ และเจ้าป้าเอง แต่หนังก็ยังเจ๊งไม่เป็นท่า) และจนป่านนี้ผมเองยังไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้เลย


เรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวถึง ผมก็ยังไม่ได้ดูเช่นกัน นั่นคือ Brothers(2009) ผลงานของผู้กำกับ จิม เชอริแดน(จาก In the Name of the Father หนึ่งใน 10 หนังในดวงใจผมอีกเรื่อง) เรื่องนี้เจครับบทน้องชายของ โทบี้ แม๊คไกวร์ ที่ต้องดูแลพี่สะใภ้ที่รับบทโดย นาตาลี พอร์ทแมน แทนพี่ชายที่สาปสูญไปในการออกรบ จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่หนังที่เจครับแสดง จะเป็นหนังชีวิตที่เน้นการแสดงความรู้สึกจากข้างใน นอกจากบทที่น่าจะเป็นปัจจัยใหญ่ในการรับงานแสดง ผู้กำกับก็ดูจะเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนในการเลือกรับงานของเขา เครดิตผู้กำกับที่เจคได้ร่วมงานด้วยจึงออกมาดูดีมีราคามากๆ(เจคจะตามหลังผู้ กำกับ ไมค์ นีเวลล์(Four Weddings & a Funeral หนังในดวงใจผมอีกเรื่อง)จาก Prince of Persia ด้วย เอ็ดเวิร์ด ซวิก,เดวิด โอ รัสเซลล์ และดันแคน โจนส์ แต่ละคนเครดิตเยี่ยมๆทั้งนั้น)


และเพราะการรับงานที่มีคุณภาพมาตลอดของเขา จึงทำให้ข่าวการรับบทพระเอกในหนังแอ๊คชั่นที่สร้างมาจากเกมอย่าง Prince of Persia เป็นความประหลาดใจสำหรับแฟนเจคอย่างผม นี่คือการเปลี่ยนแนวครั้งสำคัญ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่เจคต้องรับผิดชอบแบกหนังไว้บนบ่าได้มากเท่านี้อีก แล้ว แต่จากเครดิตผลงานที่ผ่านมา เจคช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ดูแพงมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว(เหมือนที่เครดิตทั้ง ชีวิตของจอห์นนี่ เด็ปป์ ช่วยทำให้ Pirates of the Caribbean ดูแพงมากยิ่งขึ้น) และสำหรับแฟนหนังของเจค(ที่พลาดหนัง 2 เรื่องหลังของดาราคนโปรดซะงั้น) ไม่มีครั้งไหนที่จะลุ้นหนังเจคบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยใจที่ระทึกเท่านี้อีก แล้ว ไม่ว่าหนังจะฮิตหรือจะคว่ำ ขอสัญญาตรงนี้ว่าเรื่องนี้จะไปดูในโรงให้จงได้

12-11-2012

การที่เราจะปรับตัวเข้าหากันมันไม่ง่ายและก็ไม่ยากเลย ว่ามั้ย

09-11-2012


มันไม่ง่ายเลย เทรดเดอร์ ต้องทุ่มเท ทุ่มเท

ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00
ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00
ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00
ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 - 3:00


www.magic-copy-ea.com   เวปซิกเเนลเทรด

03-10-2012

ช่วงนี้ไม่ได้เทรดเนื่องจากติดเกมส์และทำงานติดต่อกันหลายวัน....นึกถึงบล็อคก็ฉุดคิดได้ว่าเรากำลังทิ้งความฝันของตัวเอง...โดยไม่รู้ตัว.....

     ทุกคนมีความตั้งใจ แต่ คง ทน ยาว นาน ไม่เท่ากัน

เป็นคำที่อาจารย์จักกฤษ ได้ บ่น สอน และพูดลอยๆให้ผมและเพื่อนๆในชั้นเรียนบ่อย ผมเข้าใจล่ะครับ


02-10-2012

การวิเคราะห์ข่าว Non Farm จากเวปอาจารย์ Rojer
Non-Farm B
เคยสงสัยกันไหมว่า เย็นวันศุกร์บางศุกร์ เห็นกราฟ Forex วิ่งหน้าตั้งกันแบบน่ากลัวกันใช่ไหม ?
หลายคนคงรู้ หรือได้ยินมาว่า มันเกิดจาก ข่าว Non-Farm
แล้วหลายคนก็สงสัยอีกว่า ข่าว Non-Farm คืออะไร ?
ผมจึงจัดการสรุปให้นะครับ, ทีนี้คงได้รู้กันเสียทีว่า ทำไมกราฟมันวิ่งดีจัง ณ เวลานั้นๆ
Credit : ForexFactory.com


5 Stages of Trader

money
มีบทความอ่านหนึ่งผมอ่านแล้วประทับใจ เลยอยากจะเผยแพร่ต่อนะครับ
เขาแบ่งระดับของเทรดเดอร์ไว้ 5 ขั้น ลองอ่านดูแล้วประเมินดูว่า เราอยู่ขั้นไหน
และ ถ้าอยากจะพัฒนาขั้นต่อไปควรจะทำเช่นไร บทความนี้น่าจะช่วยนำทางได้ในระดับหนึ่ง ให้เราก้าวขึ้นไปได้, ย้ำอีกทีนะครับว่าผมไม่ได้เขียนเอง แค่อ่านแล้วชอบเลยเอามาเผยแพร่ต่อ
โดยตบแต่งสำนวนเล็กน้อยให้ลื่นไหล ในแบบของผมครับ
Credit : ขอบคุณพี่ยัน ที่ทำให้ผมได้อ่านในครั้งแรก และเวป forex2rich.com ที่เผยแพร่บทความนี้ไว้
Credit ภาพประกอบ : google Image > rftraining.co.uk
5 Level ของ เทรดเดอร์ และ Guide สู่ Level ถัดไป
ขั้น เเรก - เทรดเดอร์ ไร้สติ
นี่ป็นขั้นเเรกของนักเทรดทุกคนเมื่อคิด ที่จะเริ่มเทรด ท่านรู้ว่าการเทรดเป็นการหาเงินที่ดีเพราะท่านได้ยินใครๆก็พูดถึงเรื่องของ นักเทรดที่เป็น millionaire เหมือนกับคุณเริ่มคิดที่จะขับรถทุก อย่างดูเหมือนง่าย มันไม่น่าจะยากอะไรขนาดนั้น การเทรดก็เช่นกัน ราคามีเเค่ขึ้นกับลง มันจะมีความลับอะไรกันมากมาย ท่านเลยคิดว่าเทรดเลยดีกว่าไม่น่าจะยาก เเต่เช่นเดียวกับการขับรถเมื่อท่านจับพวงมาลัยครั้งเเรก ท่านถึงได้รู้ว่าท่านไม่รู้อะไรเลย ท่านเปิดออเดอร์มากมาย เเละรับความเสี่ยงสูง พอท่านเปิดซื้อกราฟก็ตกพอท่านสั่งขายกราฟก็ขึ้นเป็นอยู่อย่างนี้ แม้ว่าบางทีท่านอาจจะประสบความสำเร็จ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะในสมองของท่านจะคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย เเล้วท่านก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เเละลงเงินมากขึ้นไปอีก ท่านพยายามที่จะเปลี่ยนการจากออเดร์ที่เสียด้วยการดับเบิ้ลเงินลงไปทุกครั้ง ในการเทรด บางครั้งท่านก็รอดมาได้เเต่น้อยครั้งที่จะผ่านมาเเบบไม่เสีย ท่านยังไม่คิดว่าท่านไม่มีความสามารถในการเทรด ขั้นตอนนี้กินเวลาอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ก่อนที่ท่านจะย้ายไปอีกขั้นนึง
ขั้นสอง - เทรดเดอร์ ไร้ระบบ
ขั้นตอนสองคือท่านทราบการเทรดนั้นต้องมี การวางเเผน เเละลงมือลงเเรง จิตใต้สำนึกท่านทราบว่าท่านเป็นนักเทรดที่ขาดคุณสมบัติท่านไม่มีทักษะหรือ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการทำกำไรในตลาดเงิน ท่านเริ่มที่จะหาซื้อระบบการเทรดและ e-book ท่านหาหนังสืออ่านตามเว็บไซต์ทุกที่จากสหรัฐอเมริกาถึงยูเครน ช่วงนี้ท่านเริ่มต้นค้นหาอินดี้หรือระบบศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้ท่านจะย้ายจากระบบไประบบนึง อินดี้นึงไปอินดี้นึง ท่านจะเปลี่ยนจากวิธีนี้วันวิธีนู้นอีกวัน และสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า
โดย ทดสอบจนมันนานพอที่จะดูว่ามันใช้ได้หรือไม่ เวลาที่ท่านเจออินดี้ตัวใหม่ คุณจะมีความตื้นเต้น เเละคิดว่าอินดี้นี้ ละสุดยอดเเล้ว ท่านจะทดสอบระบบ อัตโนมัติใน Metatrader ท่านจะเล่นกับmoving average, Fibonacci, support และ resistant, Pivots, Fractals, DMI, ADX และอื่นๆ อีกร้อยเเปดในความหวังว่ามันจะเป็นระบบมหัศจรรย์ของท่าน ท่านจะเป็นคนเลือกบนเเละล่างพยายามหาจุดกลับตัวของกราฟและท่านจะพบตัวว่าเอง ไล่กวดเทรดที่เสีย และยังเพิ่มเงินลงไปเพราะคุณมั่นใจว่าท่านถูก ท่านจะไปอยู่ในห้อง chat และเห็นว่าคนอื่นๆทำกำไรเเต่ทำไมไม่ใช่ท่านท่านมี ปัญหาที่ต้องการคำตอบล้านเเปด บางคำถามเมื่อตัวท่านเองย้อนกลับไปดูตัวท่านเองยังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่ เง่า แล้วท่านจะถึงจุดที่ท่านคิดว่าคนที่ออกมาบอกว่าได้กำไรทั้งหมดโกหก พวกเขาไม่น่าจะทำไรได้เพราะท่านก็ได้ศึกษาการเทรดมาเเต่ได้เเต่ขาดทุน ท่านก็รู้เท่าเท่ากับที่พวกเขารู้พวกเขาต้องโกหกเเน่เเน่. เเต่ พวกเขาอยู่ในตลาดเทรดทุกวัน และบัญชีของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ของท่านลดลงเรื่อยๆ ท่านจะกลับไปเป็นเเบบวัยรุ่นอีกครั้งนึง -- นักเทรดที่มีประสบการเเละสำเร็จให้คำอธิบายบอกเหตูผลบอกวิธีเเบบฟรีๆเเต่ท ่านก็ยังดื้อรั้นคิดว่าตัวเองถูกเเละท่านรู้ดีที่สุด ท่านก็ยังดั้นด้นเทรนทั้งที่ทุกคนรอบรอบข้างบอกว่าคุณบ้าไปเเล้วเเต่ท่านคิด ว่าท่านรู้ดีกว่า เมื่อท่านจะคิดได้เเล้วจะพยายามเทรดตามคนอื่นเเต่ก็ไม่สำเร็จ.ท่านพยายาม จ่ายค่าสัญญาณจากคนอื่น.ท่านก็จะจ่ายเงินให้กูรูคอยบอกเเละสอนไม่ว่ากูรูจะ ดีหรือไม่ดียังไงท่านก็ยังไม่สำเร็จเพราะท่านยังคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด
ขั้นนี้อาจจะกินเวลานานตราบเท่านาน - คุณวนอยู่กับการพูดคุยกับนักเทรดคนอื่นๆ เเละสะสมประสบการ,
ขั้น นี้อาจจะนานเป็นปีถึงสามปี นี้เป็นขั้นที่นักเทรดถอนตัวถอดใจในการเทรด ประมาณ 60% ของนักเทรดใหม่ถอดใจใน 3 เดือนเเรก -- การที่พวกเขาถอดใจเป็นสิ่งที่ดี - ลองคิดดู - ถ้าการเทรดเป้นเรื่องง่ายทุกคนก็รวยกันหมดเเล้ว, อีก 20% ให้เวลาอีกหนึ่งปี แล้วความหมดหวังก็จะทำให้บัญชีพวกเขาหมดออกไปจากตลาดอย่าง เเน่นอน
สิ่ง ที่ท่านอาจจะแปลกใจก็คือที่เหลืออีก 20% พวกเขาผ่านได้ประมาณ 3 ปี และเขาก็จะคิดว่าพวกเขาจะปลอดภัยแต่แม้จะผ่าน 3 ปี,แต่เเค่อีกเพียง 5-10% ที่จะทำกำไรได้สมำเสมอ ตัวเลขอันนี้ไม่ได้เกิดมาได้จากอากาศ, ไม่ได้โมเมขึ้นมา หลังจากที่คุณผ่านสามปีได้อย่าพึ่งวางใจ.มีคนเคยเถียงเรื่องเวลาหลายคนทุก ทุกคนไม่เคยรอดเกินสามปี.ถ้าท่านคิดว่าท่านรู้ดีลองถามตามบอดร์ดูว่าใครเทรด มาห้าปีเเล้วสามารถที่จะเทรดเต็มความสามารถ 100% บางทีอาจจะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น เเต่ที่ผ่านมาไม่เคยเจอเองสักคน ท่านจะค่อยๆ ออกมาจากขั้นนี้ ท่านลงทุนลงเเรงกับมันไปมากกว่าที่ท่านคาดคิด ท่านหมดเงินไปจากบัญชีเป็นสิบครั้งเ เละคิดจะเลิกตั้งหลายครั้งเเต่ท่านไม่เลิกเ พราะมันอยู่ในสายเลือดไปเเล้ว แล้วอยู่ๆวันนึง ณ ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง
ท่านก็จะเข้าไปขั้นถัดไป
ขั้นที่สาม - เทรดเดอร์ ไร้สิ่งรบกวน
ช่วงสุดท้านของขั้นที่สองท่าน เริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่ที่ระบบที่ทำให้เกิดความเเตกต่าง ท่านเริ่มที่จะคิดได้ว่าท่านสามารถทำเงินได้กับเเค่ simple moving average เเละไม่มีอย่างอื่น หากเเต่ว่าความคิดของท่านและการจัดการเงินของท่านเป็นไปอย่างถูกต้อง ท่านเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในการเทรด เเละเข้าใจในตัวคาเเรกเตร์ในหนังสือทำให้เกิดความกระจ่าง การกระจ่างนี้เกิดจากสมองของท่านประติดประต่อได้ว่าไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรได้อย่างเเม่นยำในเวลาข้างหน้า ไม่ว่าจะสิบวินาทีหรืออีกยี่สิบนาที ท่านจะเลิกสนใจความคิดของคนอื่น ท่านเริ่มที่จะสร้างระบบของท่านเองเพียงระบบเดียว เเละมีความสุขกับระบบของท่าน เเละท่านเป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ความเสี่ยงของตัวเอง ท่านจะเริ่มเทรดเมื่อท่านเห็นว่าท่านมีโอกาสที่จะทำกำไร เเละเมื่อเสียท่านก็ไม่โกรธตัวท่านเอง เพราะท่านรู้ว่าอยู่ในหัวของท่านว่าท่านไม่อาจคาดเดาตลาดได้เเละมันไม่ใช่ ความผิดของท่าน เมื่อท่านเทรดเเล้วเเล้วรู้ว่าเสียท่านปิดออเดอร์ เทรดอันต่อไปเเละต่อไปท่านรุ้ว่ามีเปอรเซ็นสำเร็จ เพราะท่านรู้ว่าระบบของท่านสามารถทำกำไรได้ ท่านเลิกที่จะมองเเค่การเทรดเเค่มุมมองของเทรดออเดอร์เดียว ท่านเปลี่ยนมุมมองของท่านเป็นอาทิตย์เเละคิดว่าเทรดผิดครั้งเดียวไม่ได้หมาย ความว่าระบบของท่านใช่ไม่ได้ ท่านจับไดว่าการเทรดขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวคือความสมำเสมอเเละการมีวินัย ท่านเรียนรู้เรื่องการจัดการเงิน เเละความเสี่ยงทุกอย่างเริ่มซึมซับ ท่านมองย้อนกลับไปถึงนักเทรดที่ใหห้ความรู้กับท่าน เเต่ก่อนด้วยความยิ้มเเย้มว่าตอนนั้นท่านยังไม่พร้อมเเต่ตอนนี้พร้อมเเล้ว
ขั้นสี่ - เทรดเดอร์ ไร้ความรู้สึก
ท่านทำการเทรดเมื่อระบบของท่านบอก ท่านทำใจยอมรับการเสียได้เหมือนกับท่านได้กำไรจากการเทรด ตอนนี้ท่านปล่อยให้ออเดร์ที่ทำกำไรทำกำไรถึงที่สุด โดยยอมรับความเสี่ยง เเละรู้ว่าระบบของท่านทำกำไรได้มากกว่าที่เสียไป.เเละเมื่อท่านอยู่ฝั่งที่ เสียท่านปิดออเดอร์โดยเจ็บปวดเล็กน้อยใน account ของท่าน ตอนนี้ท่านถึงจุดที่ท่านเสมอตัวซะส่วนมาก ทุกทุกวันจะมีบางอาทิตย์ที่ท่านได้100 pips เเละสัปดาห์ที่เสีย100 pips เเต่ท่านก็เสมอตัวไม่ขาดทุน ตอนนี้ท่านรู้ว่าท่านเป็นคนตัดสินใจในการเทรดเเละเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ตามระบบของท่านไม่ว่าได้หรือเสีย.ท่านได้รับการยอมรับจากนักเทรดคนอื่นๆ ท่านยังต้องขัดเกลาเเละเช็คการเทรดของท่านอย่างสมำเสมอ ท่านเริ่มที่จะทำเงินได้มากกว่าเสีย ท่านจะเริ่มวันด้วยการได้กำไร 20 pips เเละก็ เสีย 35 pips เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไร เพราะท่านรู้ว่าเสียไปเเล้วมันก็จะกลับมาหาท่านอีก ท่านเริ่มที่จะทำกำไรสัปดาร์ต่อสัปดาร์ 20 pipsสัปดาร์นี้ 50 pips สัปดาร์หน้า ขั้นนี้จะประมาณ หกเดือน
ขั้นห้า -- เทรดเดอร์ ไร้ใจ (Auto pilot)
ขั้นนี้เหมือนเราขับรถ ทุกวันเราขึ้นรถขับออกไปปโดยสัณชาตญาณ เหมือนกับเราเทรด ท่านเทรดโดยสัญชาตญาณ เทรดเเบบ autopilot ท่านไม่ตื่นเต้นไม่ว่าจะทำได้ 200 pips หรือ 1 pip ท่านเห็นเด็กใหม่ในฟอรั่มเเล้วย้อนคิดไปถึงท่านในอดีตหลายปีมาเเล้ว นี้คือสวรรคของการเทรด -- ท่านได้บรรลุโดยการเทรดเเบบไม่ใช่อารมณ์ เเละความรู้สึกมาร่วม Account ของท่านเติบโตขึ้น ท่านเป็นที่รู้จักของนักเทรดทุกคนคอยฟังความเห็นของท่าน เเต่ท่านรู้ว่าบางคนก็ไม่ทำตามเหมือนท่านสมัยก่อน การเทรดเริ่มน่าเบื่อเพราะพอท่านทำอะไรได้ดีหรือเก่งท่านก็จะเริ่มเบื่อไม่ มีอะไรมาทำให้ท่านได้รู้สึกเเข่งขัน ท่านเริ่มหายจากห้องสนทนา เเละหาเพื่อนคุยกันรู้เรื่องโดยที่ไม่ผันตามความคิดของท่าน ท่านไม่ได้เปลี่ยนเเปลงระบบ เเต่พัฒนาระบบให้ดีขึ้น ตอนนี้ท่านมีสัญชาตญาณในการเทรด ท่านสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า "forex trader" เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไรคิดเเค่มันก็เเค่เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง
โปรดจำไว้ว่าเเค่ ห้าเปอรเซ็นของนักเทรดที่สามารถถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความสามารถ เเต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เเละความหัวเเข็งของท่านได้ไหม เมื่อเวลาที่ท่าได้รับความคิด เเละความรู้ใหม่ๆ ก่อนที่ท่านจะถอดใจ ลองคิดดูว่าท่านจะยอมใช่เวลาไปโรงเรียนกี่ปี ถ้าท่านรู้ว่าตอนจบมามีงานที่ทำเงินได้ล้านนึงต่อปีรออยู่
----------------------- จบบทความ 5 ขั้นในการเป็นเทรดเดอร์ --------------


เพื่อนแท้

What-Friend-R-U
บทความกึ่งดราม่า เรื่อง "เพื่อนแท้"
ดราม่าต่อจาก ครั้งโน้น เรื่องชีวิตกับเพื่อน
ในชีวิตคน บางวันอากาศสดใส บางช่วงเจอพายุ
ในวันสดใสนะง่ายมีแต่คนโผล่มารอบกายเต็มไปหมด
แต่ ช่วงฝ่ามรสุมนี่สิ ช่วงที่เราต้องการคนช่วยกันพยุงไปเนี่ยแหละ จะมีใครอยู่ข้างเรา ?
อันดับแรก คือครอบครัว แต่เนื่องด้วยตกอยู่ในสถานะเดียวกัน จึงต้องลำบากไปด้วยกัน
แล้วมีใครละ จะโผล่มาช่วยเราในยากที่เราไม่มีอะไรจะให้พวกเขา ?
คำตอบคือ "เพื่อนแท้" ครับ
ผมมองดูตัวผม ผมคิดว่าผมมีสิ่งวิเศษเลย คือมีเพื่อนแท้ ถึง 6 คนในชีวิต
1.ผู้ พัน X, คนนี้เติบโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนสมัยประถม ถึงวันนี้ ! ลุยด้วยกันมาทุกอย่าง ตั้งแต่หัดเล่นเกม โตหน่อยก็หัดกินเหล้าเข้าผับ จีบสาว รวมทั้งทำบุญเข้าวัด, ช่วยกันทำธุรกิจด้วยกันและเจ๊งมาด้วยกันก็เยอะ, ทุกวันนี้ถ้ามีอะไรลำบากเรื่อง กฏหมาย โดนรังแก การเงิน etc... ขอแค่กดโทรศัพท์ทีเดียว ท่านผู้พัน จะจัดการให้ มั่นใจได้เลยว่าชีวิตนี้ไม่ถูกใครรังแกง่ายๆแน่ๆ
2.Perfect man A, คนนี้เพื่อนสาธิต เป็น gamer,นักกีฬา,นักธุรกิจ,นักทำงานเหมือนกัน ทุกวันนี้เป็นเจ้าของบริษัทเกมเล็กๆของตัวเอง มีร้านอาหารในเมืองทำเลสวยสุดๆ, ทุกครั้งที่ผมเกิดปัญหาชีวิต ต้องปรึกษาคนนี้เสมอ เพราะจะให้มุมมองที่ตรง จริงใจ และ กล้าชี้ให้ผมเห็นตรงๆว่า ผิดตรงไหน ให้แก้อย่างไร, เพื่อนคนนี้ ในบรรดาเพื่อนฝูงด้วยกัน ยกให้เป็นคน Perfect ยกเว้นเรื่อง...ความหล่อ
3.Crazy man T, คนนี้ก็เพื่อนสาธิต แก๊งค์สามช่า กับ A, ที่สุดของชีวิต ต้องกับคนนี้ ลองอะไรแปลกๆ ลุยอะไรมันส์ๆ ทำอะไรแผลงๆด้วยกันมาตลอดชีวิต, แม้ที่บ้านจะมีพื้นฐานครอบครัว สส. รวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเหนือใคร ทำตัวติดดิน ตะแคงดีนเดิน, แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ต้องการความช่วยเหลือแล้วละก็ งานช้างแค่ไหนก็เอาอยู่ !
4.Dr. OMG, คนนี้เพื่อน ปตรี, เป็นคนต่างกันสุดขั้ว ถ้าผมเป็นไฟ คนนี้ก็คือน้ำ, เป็นอาจารย์ Dr. ที่ชอบชีวิตแบบเย็นๆ สบายๆ ทุกครั้งที่ผมต้องการเพื่อนสักคน อยากได้ที่ปรึกษา มั่นใจได้เลยว่า ถ้าโทรหา เขาจะอยู่ตรงนั้นเพื่อผมเสมอ, เป็นความรู้สึก การันตีว่า ในชีวิตผมไม่ว่าเลวร้ายแค่ไหน ผมก็ไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวแน่นอน
5.เจ้า สัว P, คนนี้เพื่อนสมัยทำงานโรงงาน SCG, เป็นเพื่อนตอนโตแล้ว แต่ความจริงใจ ไม่ได้แพ้เพื่อนสมัยเด็กเลย, ตอนผมตกอับ ลำบากเรื่องเงิน พอเขารู้ เขาบอกทันทีเลยว่า ตอนนี้เขามีเงินในมือเท่าไหร่ แล้วแบ่งให้ผมครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดที่เขามี เพื่อให้ผมตั้งตัวได้ใหม่ โดยไม่มีดอกเบี้ย ไม่มีสัญญากู้ยืม ไม่มีหลักฐานใดๆ, การกระทำนี้ซึ้งตลอดชีวิต หากไม่มีเงินก้อนนั้น วันนี้ผมคงไม่ได้ยืนตรงนี้แน่ๆ
6.เสด็จป้า O, คนนี้เป็นเพื่อนตอนแก่, คนนี้เป็นทั้งคนเก่ง และคนดีมาก ซึ่งหายากมากในสังคมปัจจุบัน, ทำงานสายเดียวกัน จึงเป็นที่ปรึกษาให้ได้ดีมาก เห็นผมตั้งแต่ช่วงรุ่งเรือง จากนั้นตกต่ำ ระหว่างนั้นให้กำลังใจ ให้คำปรึกษา ช่วยวางแผนงาน ทั้งๆที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรจากผม จนเห็นผมรุ่งเรืองอีกครั้ง ก็ยังรับรู้ได้ถึงความจริงใจเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน
ถึงวันนี้ผมค่อนข้างมีความก้าวหน้าในการงาน มีหน่วยงานต่างๆเข้ามาติดต่อ เพื่อขอให้ไปร่วมงานกับพวกท่านๆทั้งหลาย ทั้ง โบรคเกอร์ สถาบันสอนเทรด กองทุน แม่บ้าน ทหาร ล็อตเตอรี่ ขี้เมา etc... แต่ผมไม่เคยมีสักวันที่จะลืมเพื่อนผม เพราะผมตระหนักว่าในชีวิตผม หากขาด "เพื่อนแท้" เหล่านี้ การเดินไปข้างหน้า จะต้องหนาวเหน็บ และ ยากลำบากสักเพียงใด, อาจจะถึงขั้นล้มตายระหว่างทางก็เป็นได้ ผมจึงให้ความสำคัญ และ Treat เพื่อนอย่างดีที่สุดเสมอ (ในแบบที่ผมทำได้)
แล้วคุณละมีเพื่อนแท้กี่คน ? อย่าระเริงกับเพื่อนที่โผล่มาประจบแต่ในยามรุ่งเรือง, เพื่อนแท้ ต่างหากที่คุณต้องอยู่ใกล้และใส่ใจเสมอ ลองมองย้อนดูว่า ในช่วงที่ลำบาก มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทนบ้าง พวกนั้นแหละคือเพื่อนแท้, และถ้าได้เจอแล้ว อย่าปล่อยให้สิ่งใดๆทำลายได้ เพราะมันคือ สมบัติของคุณ ในระดับ "ของวิเศษ" ที่จะช่วยให้พ้นวิกฤติชีวิตของคุณได้

24-10-2012

ห่างหายไปนาน...พอร์ตที่ 4 เกลี้ยงอีกตามเคย แต่สามารถยือไว้ได้นาน การยือได้นาน ในความคิดผมเท่ากับว่า ผมยืด ระหว่างขาดทุนกะกำไรไว้เสมอตัวแต่สุดท้ายก็ล้างพอร์ตเนื่องมาจากไม่ได้ทำตามสาส์น จากเทรดเดอร optionise ที่เขาได้รับสาส์นจาก Effi lang ปรมจารย์เทรดเดอร์ชาวบัลเกเลีย

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553


วันที่ 168 ของการเดินทาง

ผมเอาสาส์น จากเทรดเดอร์ Effi lang มาให้ดูต่อจากครั้งที่เเล้ว ตอนโน้นเลย
เป็นข้อความที่ต้องการจะบอกให้เทรดเดอร์ ที่กำลังจะเข้าสู่หนทางของการเทรดลองอ่านกันดู

For everyone who is just starting out........

1. You will loose money
    เราอาจจะต้องเสียเงิน

2. You will cry if you’re emotional
    เราอาจจะต้องร้องไห้ในบางครั้ง

3. You may even reach the verge of suicide
    เราอาจจะรู้สึกถึงจุดวิกฤตที่สุดในชีวิต

4. You will have people try to put you down
    ผู้คนรอบข้างอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับการเทรด

5. Depression
    ความกดดัน เป็นสิ่งที่ต้องเจอเเน่นอน

6. You will want to give up
    บางครั้งเรารู้สึกอยากจะยอมเเพ้

7. You will want to give up once more
    อาจจะมีหลายครั้งที่เราอยากจะยอมเเพ้

8. You will want to give up again
     เเละก็อีกหลายๆครั้ง

9. You will never give up if you have a goal set, so set it and you will have reason to go on.
    เเต่เราจะไม่มีวันยอมเเพ้ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เเละเหตุผลที่เราจะต้องสู้ต่อ


10. You will have good trading days
      เราจะมีทั้งวันเทรดที่ดี

11. You will have bad trading days
      เราจะมีวันที่เทรดที่ไม่ดี

12. You will realize that a minimum of 2:1 income to expense ratio may as well be just as important as trading itself
เมื่อ เราสามารถเทรดจนกำไรเป็น 2 เท่าของรายจ่าย >>> เป็นสัดส่วนขั้นต่ำที่ดี เราไม่ควรจะ
จ่ายมากกว่า 50% ของเงินที่เทรดได้ ในกรณีที่รายได้เรามาจากการเทรดเป็นหลัก

13. You will try many trading systems
      เราจะทดลองหลายๆระบบ

14. You will most likely develop yours at the end
      เราจะพยามจะพัฒนาหาผลลัพธ์

15. You will use 100 indicators at some point and most likely use just a few at the end
      เราจะพยามทดสอบเป็น 100 indicators เพื่อว่าจะได้ผลการเทรดที่ดีขึ้น

16. You will realize that keeping a trading diary and plan. Is the same as your mum telling you to get your sleep: its true, If u do it u will be healthy and if you don’t you’ll always fall sick
     เรื่องของการบันทึกการเทรดเป็นเรื่องสำคัญมากๆ มันคล้ายๆกับว่าเวลาที่เเม่ของเราบอกให้เรานอน
     - ถ้าเราทำตามเราก็จะมีสุขภาพที่ดี
     -เเต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราก็จะมีสุขภาพที่ไม่ดี เท่าไหร่

17. Don’t get greedy!
      อย่าโลภ

18. Trade Pips not Money
      เทรดที่ Pips (หน่วยของ Forex) อย่าเทรดที่ตัวเงิน

19. 10 Pips a day is good
     ได้ 10 Pips ต่อวันถือว่าดี

20. 20 Pips a day is greatได้ 20 Pips
     ต่อวันถือว่ายอดเยี่ยม

21. 30 Pips a day is awesomeได้ 30 Pips
     ต่อวันถือว่า วิเศษมากๆ

22. Accept loosing at most 50% of the time and winning the other 50%
     เราต้องยอมรับ ขาดทุน - กำไร 50% 50% ให้ได้

23. Get a life. Exercise, eat, sleep. The better your health the better your trade.
       มีความสุขกับชีวิต ออกกำลังกายบ้าง กิน นอนอย่างปกติ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดี
       เรายิ่งมีการเทรดที่ดีขึ้น

24. Keep it professional! Take breaks! Wear a suit and a tie if you have to even though you’re going to the next room, but have the right mind set, this is business and you are both the President and the Employee
ทำตัวเป็นมืออาชีพ มีการพักเบรกบ้าง ให้เรามองการเทรดว่าเป็นธุรกิจหนึ่งของเราโดยที่เรา
เป็นทั้งพนักงงาน เเละก็ลูกจ้าง

25. Don’t withdraw all your money from your account, compound what you can and aim to  exponentially increase your lots while keeping your Pippage the same.
     อย่าถอนเงินทั้งหมดจากบัญชีการเทรดของเรา ให้เราพยามทบต้นขึ้นไป

26. Patience and understanding is key and it is the difference between a loosing trade and a winning trade.
ความอดทนเเละความเข้าใจคือหัวใจ ซึ่งมันเเตกต่างระหว่างการเทรดที่เราขาดทุน เเละการเทรดที่กำไร

27. Educate Yourself. Dumb people loose money and Smart People make it in this trade.
     เราต้องพยามเรียนรู้ คนโง่มักจะเสียเงิน ในขณะเดียวกันคนฉลาดมักจะเป็นผู้ได้เงิน
     ในสนามการเทรด

28. Remind yourself why you do what you do every once in a while
     เราต้องเตือนตัวเอง เเละรู้ตัวเสมอ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

29. When you loose a trade have an optimization protocol: - Ask yourself why you incurred an expense - Understand why you incurred an expense- Tell yourself what you need to do to avoid a reoccurrence and remember what you said
เวลาที่เราเทรดพลาด ให้ถามตัวเองว่าทำไม พยามที่จะเรียนรู้เข้าใจจากการขาดทุนที่เกิดขึ้น

30. Try not to trade news
      อย่าพยามที่จะเทรดตามข่าว

31. In most cases if there is something you can’t explain with Technical Analysis. It’s normally news’ fault.
     ให้หยุดชั่วคราว ถ้ามีบางอย่างที่เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วย Technical Analysis

32. Have at least 2 internet connection setup, 1 for back up.
.    ให้เรามี internet สำรองไว้ด้วย

33. Don’t trade when you are tired, drunk, sleepy or emotional
      อย่าเทรดเวลาที่เราเหนื่อย เราดื่มมา ง่วง หรือว่าตอนที่อารณ์ราไม่ปกติ

ทั้งหมดนี้คือสาน์สจากเทรดเดอร์ค่าเงิน Effi Lang

ที่ช่วยเตือนใจเทรดเดอร์รุ่นใหม่ๆ ครับ

24-09-2012

    วันนี้ตื่นเช้า และอยากจะนอนต่อ ปัญหามากมายเข้ามาในชีวิต ทุกคนล้วนมีปัญหา คนที่ก้าวผ่านปัญหาได้ คือส่วนมากคนที่ไม่ท้อถอย คิดบวก มันต้องดีขึ้นสักวัน มีสติ มีสติ ใช้ปัญญา สมาธิ ใจเย็นไว้ เดินทางต่อ....Go go go gooooo Gold

21-09-2012

เทคนิคคอล

     เป็นทริป จาก อ. Rojer FX นะครับ ผมสรุปตามที่ผมเข้าใจ สงสัยกลับไปดูคลิปอาจารย์นะครับ   
               1. EMA    หรือพวก Trend ควรใช้เล่นตามเทรน
               2. Stochastic หรือพวก Osillators ควรใช้เล่นตอน Side way เท่านั้น  เน้นที่
                   Time fram 5 minไม่เหมาะใช้เล่นตาม เทรน
                   ค่าที่เซตคือ 0, 10, 25, 50, 75, 90, 100
                   ที่ค่า 25-75 คือ โซนตามเทรน ลงก็ยังลง ขึ้นก็ยังขึ้น
                   ที่ค่า 10-25 , 75-90 คือ โซนกลับตัว
                   ที่ค่า 0-10  90-100 คือ Super โซนซื้อหรือขายมากเกินไปเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
                   จะมีการเกิดขึ้นอีก และจะจบในโซนกลับตัว แม่นใน Time fram 1H ในเวลาอื่น
                   ก็พอใช้ได้
               3.ข่าว ควรวิเคราะห์ ในข่าวถัดไปด้วย และข่าวจะไม่ตรงเสมอไป แต่ภาพรวมแนวโน้ม
                  ใหญ่ส่วนมากจะเป็นตามข่าว


เหตุผลที่คนควรหยุดงาน

นิ้วกลมwww.facebook.com/Roundfinger.BOOK
1 เคยคิดเล่นๆ ว่า พนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ควรใช้เวลาทำงานแค่หนึ่งอึดของแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก

หมาย ความว่า ตอนเช้าชาร์จแบตให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วดึงปลั๊กออก หลังจากนั้น ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปจนกว่าแบตจะหมด พอแบตหมดปุ๊บก็เลิกทำ เก็บโน้ตบุ๊ก โบกมือบ๊ายบายเพื่อนร่วมออฟฟิศ ยักคิ้วให้สักสองขยัก แล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนนอนเล่น หรือประกอบกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่งาน

ผมลองทำแบบนั้นดูแล้ว โน้ตบุ๊กของผมมีอายุขัยถึงประมาณบ่ายสามโมง

โดยเริ่มลืมตาดูโลกตอนประมาณสิบเอ็ดโมง

ช่วงเวลากำลังดีสำหรับพนักงาน

แต่คงสั้นไปมากสำหรับเจ้านาย

ก็แค่สงสัยว่า ทำไมเวลาโน้ตบุ๊ก "แบตหมด" เรายังชาร์จแบตให้มัน แล้วตอนตัวเราเอง "แบตหมด" เราควรจะชาร์จแบตบ้างไหม?

คุณสเตฟาน แซกมายสเตอร์ อาจมีคำตอบ



2 คุณสเตฟานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ชื่อดังจากนิวยอร์ก มีผลงานออกแบบอันเป็นที่ฮือฮามากมายหลายชิ้น ปกซีดีของศิลปินดังๆ หลายต่อหลายปก

แกตั้งเป้าหมายของวิชาชีพเอาไว้ว่า อยากออกแบบกราฟิกดีไซน์ที่จับใจคน (graphic design that touches people"s heart)

ถึงขั้นเขียนเอาไว้ในรายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ซึ่งจะว่าไปเขาอาจจะทำสำเร็จไปหลายชิ้นแล้ว

วิธีการคิดงานและวิธีการทำงานของคุณสเตฟานจึงน่าสนใจ

ที่มาของงานดีไซน์ที่ไปจิ้มหัวใจคนดูได้มันเกิดจากอะไรกันนะ

คุณ สเตฟานแอบมาเผยเคล็ดลับการทำงาน (รวมถึงเคล็ดลับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข) ให้ชาวโลกฟังแบบเบาๆ บนเวที TED และผมแอบเข้าไปฟังเขาพูดในเว็บ www.ted.com

เขาเล่าให้ฟังว่า สตูดิโอออกแบบในนิวยอร์กหรือบริษัทของเขานั้นมีตารางการทำงานประหลาดๆ อย่างหนึ่ง (เขาไม่ได้พูดว่ามันประหลาดหรอกครับ แต่ผมคิดว่ามันประหลาดดี) คือ ทุกๆ เจ็ดปี เขาจะปิดบริษัทหนึ่งปี

ไม่ได้อ่านผิดหรอกครับ หนึ่งปี ไม่ใช่หนึ่งสัปดาห์เหมือนที่เราหยุดกันตอนปีใหม่หรือสงกรานต์

เพื่อให้พนักงานทุกคนในบริษัทออกไปค้นหาและทำการทดลองอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้ในช่วงเวลาที่ยุ่งกับการงานประจำ

ในปีนั้น บริษัทเขาจะไม่รับงานใดๆ ไม่ว่าลูกค้ารายเล็กหรือใหญ่ก็ไม่สน

เขาบอกว่า ในปีนั้นเป็นปีที่มีความสุขและเต็มไปด้วยพลัง

ซึ่งผมเดาว่า มันคงจะเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจด้วยเป็นแน่แท้



3  "ผมเปิดสตูดิโอนี้ขึ้นมาเพื่อจับสองสิ่งที่ผมรักมาผสมผสานกัน นั่นคือ ดนตรีและการออกแบบ" คุณสเตฟานบอกเหตุผลเบื้องหลังจากเปิดบริษัท

แล้ว เขาก็ได้ทำในสิ่งที่รักนั้น ได้ออกแบบปกซีดีมากมายของทั้งวงดังมากและดังไม่มาก แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่า งานดีไซน์ก็คล้ายๆ กับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เขารัก เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกเบื่อ

เบื่อกับสิ่งที่เคยรัก

งานออกแบบที่เคยน่าตื่นเต้นกลายเป็นความซ้ำซาก

มิใช่แค่ในความรู้สึก แต่มันยังแสดงออกมาทางผลงานเลยด้วย

เขา โชว์สมุดบันทึกที่มีการเจาะรูแล้วใส่ลูกตาลงไป ซึ่งก็ดูเป็นลูกเล่นที่แปลกใหม่ แต่มันก็เริ่มซ้ำกับงานชิ้นที่ออกมาหลังจากนั้น คือกล่องใส่น้ำหอมที่ทำเป็นหนังสือแล้วเจาะรูเพื่อใส่ขวดน้ำหอมลงไป

เทคนิคเดียวกัน ลูกเล่นเดียวกัน

งานออกแบบเริ่มวนเวียน ซ้ำซาก ซึ่งอาจจะมาจากความรู้สึกซ้ำซากของคนทำงาน

เมื่อเริ่มรู้สึกว่าซ้ำ เขาจึงตัดสินใจปิดบริษัทไปหนึ่งปีเต็ม

ว่าแล้วเขาก็แสดง "เส้นชีวิต" ของมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ให้ดู

เป็น "เส้นชีวิต" ที่ชวนให้คิดตาม

และคล้อยตาม



4  เขาแบ่งช่วงเวลาในชีวิตของมนุษย์เราออกเป็นสามส่วน

หนึ่ง, เราใช้ยี่สิบห้าปีแรกไปกับการเรียนรู้

สอง, อีกสี่สิบปีต่อมา เราใช้ไปกับการทำงาน

สาม, สิบห้าปีสุดท้าย เราใช้ไปกับการพักผ่อนหลังเกษียณ

คำถามคือ ทำไมต้องรอไปเกษียณตอนอายุหกสิบกว่าปีด้วยล่ะ?

ทำไมเราไม่หาเวลาพักผ่อนบ้าง ระหว่างช่วงวัยที่กำลังทำงานหนัก?

คุณสเตฟานจึงแนะนำแบบนี้ครับ

เขาลองเฉือนห้าปีจากสิบห้าปีในช่วงเวลาเกษียณออกมา แล้วเอามาเฉลี่ยให้กับสี่สิบปีแห่งช่วงเวลาทำงาน

แทนที่จะทำงานงกๆ (งกเงิน+งกตำแหน่ง) ยาวต่อเนื่องสี่สิบปี ก็กลายเป็นว่า ทำเจ็ดปีแล้วหยุดหนึ่งปีแทน

เจ็ดหยุดหนึ่ง

ห้ารอบก็ครบสี่สิบปีพอดี

แต่แบบนี้มีพักชาร์จพลัง

แหม ก็ทีคอมพิวเตอร์ยังมีชาร์จแบตเลย

ไม่ เพียงได้พักผ่อนยาวๆ หลังจากทำงานหนักมาเจ็ดปีเท่านั้น แต่คุณสเตฟานยืนยันว่า ผลงานหลังการพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งปีนั้น ใหม่ สด และมีคุณภาพที่ดีขึ้นมาก

เขาถึงขั้นบอกว่า ผลงานตลอดเจ็ดปีหลังหนึ่งปีที่ได้หยุดยาวล้วนได้ไอเดียมาจากช่วงเวลาที่หยุดยาวไปเกือบทั้งสิ้น



5  คุณโจนาทาน ไฮดท์ ที่เคยมาพูดบนเวที TED เคยแบ่งลักษณะของการงานออกเป็นสามระดับ

หนึ่ง, Job คือ การทำงานเพื่อเงินเท่านั้น

สอง, Career คือ การทำงานที่เริ่มมีแรงจูงใจมากขึ้น เริ่มคาดหวังการเลื่อนขั้น แต่ก็ยังมีบางช่วงที่รู้สึกว่า โอย งานหนักจัง คุ้มที่จะทำไหมนี่

และระดับสูงสุด, Calling คือ การทำงานที่เราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับงานนั้นอย่างกลมกลืน เป็นธรรมชาติ ทำงานอย่างมีความสุข



6  พอตัดสินใจหยุดงานหนึ่งปี คุณสเตฟานเลือกไปพักร้อนที่บาหลี

เขาได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ มากมายมาใช้ในงานดีไซน์ของเขา

หมาจรจัดที่บาหลี กลายมาเป็นลายเสื้อเท่ๆ เก้าอี้หวายกลายมาเป็นต้นตอในการดีไซน์เก้าอี้ที่เต็มไปด้วยคำพูด ฯลฯ

เชฟ ที่ดีที่สุดในโลกก็ใช้นโยบายเดียวกับเขา ร้านอาหารของเขาเปิดแค่ปีละเจ็ดเดือน อีกห้าเดือนปิดเพื่อทดลองทำรายการอาหารใหม่ๆ ที่สำคัญ มีคนเข้าคิวจองที่นั่งในร้านอาหารของเขานับล้านคน

บริษัทคุณสเตฟานให้เวลาพนักงานของเขามีเวลาส่วนตัวถึง 12.5%

บริษัท 3M ให้เวลาวิศวกรในบริษัททำอะไรก็ได้ตามใจถึง 15% และไอเดียเจ๋งๆ อย่างสก๊อตช์เทปก็ผุดขึ้นมาในช่วงเวลา "ทำอะไรก็ได้" นี้เอง

บริษัทกูเกิ้ลให้เวลาวิศวกรซอฟต์แวร์ถึง 20% เพื่อทำโปรเจ็กต์ส่วนตัว

การ หยุดพักจากการงานที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี นอกจากจะทำให้ร่างกายและสมองได้ผ่อนคลายแล้ว มันยังเปิดโอกาสให้สมองมีที่ว่างสำหรับการผุดขึ้นของไอเดียใหม่ๆ อีกด้วย

"เวลาว่าง" จึงมิได้ "ว่างเปล่า"

ทว่า มัน "ว่าง" เพื่อเปิดพื้นที่ให้ความคิดใหม่ๆ ได้ก่อเกิดขึ้น

หากไม่มีเวลา "ว่าง" เลย เราก็จะวนเวียนอยู่กับความคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น



7  มิเพียงรู้สึกมีความสุขตอนที่ได้หยุดพักไปหนึ่งปี มีอีกหนึ่งความสุขเกิดขึ้นตอนที่คุณสเตฟานกลับมาทำงานอีกครั้ง

"งานของผมกลับมาอยู่ในสถานะ Calling อีกครั้ง"

ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปวันๆ เพื่อรอเงินเดือน ไม่ใช่การก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อรอเลื่อนตำแหน่ง

แต่เป็นการทำงานอย่างมีความสุข ทำเพราะอยากทำ กระตือรือร้นที่จะทำ

ทำด้วยความรัก-อีกครั้ง

ไอเดียใหม่ๆ หลั่งไหลออกมามากมาย เขากลับไปตื่นเต้นกับการดีไซน์อีกครั้ง

ก็เหมือนกับคนรัก บางครั้งห่างกันบ้างก็ดี จะได้ตื่นเต้นเมื่อกลับมาจู๋จี๋กันอีกหน



8   เขียนมาถึงตรงนี้ แบตคอมพิวเตอร์ของผมใกล้จะหมดเต็มที แบตเตอรี่ของผมก็เช่นกัน ผมกำลังวางแผนกับตัวเองในใจ ถ้าเราจัดจังหวะชีวิตของเราได้จริงๆ เราจะหยุดกี่เดือนในหนึ่งปี หรือหนึ่งปีในกี่ปีดีนะ ซึ่งการจัดสรรเวลาแบบนี้น่าจะเป็นการแบ่งเวลาที่ดีกว่าการก้มหน้าก้มตาทำงาน ด้วยความทรมานจนเบื่อการงานที่เคยรักแล้วรอไปหยุดยาวตอนแก่

นี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีในการใช้สอยวันเวลาในชีวิตอันแสนสั้น

ชีวิตที่มีความสุขทั้งตอนหยุดพัก และตอนกลับมาทำงาน

นั่นมิใช่ชีวิตที่เราต้องการกันหรอกหรือ?




20-09-2012

เริ่มเทรด ช่วงหัวค่ำ ต่อ

     เพียง  30 นาที จาก 37 เหรียญ เป็น 45 เหรียญ เวลาเป็นเงินเป็นทองจริงๆ แต่อย่าโลภ เตือนตัวเองเสมอ มั่นคง ในระบบ ตัวเอง ที่ได้ศึกษามาไว้ให้เหนียวแน่น 

     พอร์ต ที่ 4 ทุน 40 เหรียญ ได้กลับมาเรียบร้อยแล้ว

ที่สำคัญ ทฤษฏี ทบต้นจาก ไอสไตร์

     มาลุยกันต่อ คืนนี้อีกยาวไกล แต่ขอ อาบน้ำ คุยกะลูกให้สบายใจก่องนะกั๊บ

เริ่มเทรด ช่วงยามดึกๆ ต่อ

     จาก 45 เหรียญ ตอนนี้ทรงๆอยู่ มาสู้กันต่อครับ
     

19-09-2012

วันนี้เป็นวันที่ดีในการเทรด 

        คือ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ดักจังหวะ เข้าซื้อ เข้าขาย คัตลอสได้ดี จากทุน 25 เหรียญ กลับมาเป็น 37 เหรียญ เวลา 2 ชม. 25/37 * 100 = 67 % เล่นสั้นไปหลายไม้  มันมันส์มาก แต่วันนี้ผมคิดว่ามันเป็นแค่การเริ่มต้น 

 อาจารย์ผม สอน และ บ่นให้ผมฟังเสมอว่า  

       "ทุกคนมีความตั้งใจ แต่ คง ทน ยาว นาน ไม่เท่ากัน"

                                                                 อ. จักกฤษ  จันทวรรณ ร.ร. วัฒนานคร จ.สระแก้ว

                                                          

คืนนี้พอล่ะ ทำงานกะเช้าต่อ จดจำวันนี้ไว้ครับ สู้ต่อไป....นักเดินทาง