Powered By Blogger

13-11-12

ตื่น 4 โมง ของวันที่ 12 เล่นเกมส์ ดูหนัง สับเพเหละ จนถึง เที่ยงคืน จนได้เจอกันหนังเรื่องนึงเป็นเรื่องราวของกลุ่มเด็ก กลุ่มหนึ่ง เรียนมัธยมปลาย และมีความใฝ่ฝัน ที่จะสร้างจรวจ เขาชื่อ โฮเมอร์
หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ให้กำลังใจ ดีมาก ว่างๆจะหาลิงค์มาใส่ครับ
 Jake Gyllenhaal กับผลงานก่อนการมาถึงของ Prince of Persia : The Sands of Time

ผมรู้จัก เจค จิลเลนฮาล ครั้งแรกจากหนังเล็กๆเรื่อง October Sky(1999) ผล งานการกำกับของ โจ จอห์นสตัน (Jumanji) ตอนนั้นเจคยังเป็นเพียงนักแสดงวัยรุ่นโนเนมที่แทบไม่เป็นที่รู้จัก ตัวผมเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่หนังเล็กๆที่สร้างจากเรื่องจริงของโฮเมอร์ ฮิคแคม วิศวกรและที่ปรึกษานักบินอวกาศองค์การนาซ่า ที่เสนอเรื่องราวช่วงที่เขาและเพื่อนๆอีก 3 คนพยายามทดลองสร้างจรวดเพื่อขึ้นไปดวงจันทร์ และต้องล้มลุกคลุกคลานกันหลายหนกว่าจะประสบความสำเร็จ หนังเรื่องนี้ได้กลายเป็นหนังฮิตเล็กๆที่ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ และเปิดโอกาสให้นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่คนนี้ได้แจ้งเกิด เป็นที่รู้จักมากขึ้น อาจจะไม่ได้โด่งดังถึงขั้นเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่เจคเริ่มมีพื้นที่เล็กๆเป็นของตัวเองแล้วในฮอลลีวู้ด ดินแดนที่คนมากหน้าหลายตา ต่างพยายามตะเกียกตะกายหาพื้นที่เป็นของตัวเองให้ได้ จากหนังเรื่องแรกที่ได้ทำความรู้จักเจค ผมประทับใจหนุ่มมาดนุ่ม ตาสวย หน้าตาดีคนนี้เข้าให้แล้ว






ช่วง ที่ผ่านมานี้มีข่าวนักเรียนไทยหลายคนได้รับเหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิค วิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา หรือฟิสิกซ์ก็ตาม ล้วนแสดงให้เห็นว่านักเรียนไทยไม่ได้ด้อยกว่าชาติอื่นในด้านวิชาการเลย  แต่ก็ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดประเทศเราจึงไม่ค่อยมีสิ่งประดิษฐ์อะไรที่เป็นของตนเองเลย หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าเราขาดแรงบันดาลใจหรืออะไรไป

                   พอดีได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่น่าจะเหมาะกับเรื่องที่กล่าวข้างต้น  หนังเรื่องนี้ชื่อ
October Sky ซึ่งสร้างจากชีวิตจริงของวิศวกรชาวอเมริกันชื่อ Homer Hickam แห่งองค์การนาซ่า ที่เติบโตขึ้นในเมืองเล็กๆของรัฐ West Virginia ที่คนทั้งเมืองทำงานอยู่ในเหมืองถ่านหิน

                   โดยในคืนเดือนมืดหนึ่งของเดือนตุลาคม ชีวิตของเด็กหนุ่มที่ชื่อ Homer Hickam ก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อเขาได้เห็นยานอวกาศ Sputnik บินผ่านท้องฟ้าไป  มัน ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างจรวด จรวดที่จะพาชีวิตเขาให้ก้าวขึ้นไป จรวดที่จะพาเขาไปสู่โลกภายนอกที่มีอะไรมากกว่าเหมืองถ่านหิน

                   ใน หนังเรื่องนี้เราจะได้เห็นความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อของเขากับเพื่อนร่วมชั้น มัธยมอีกสามคน ที่ช่วยกันสร้างจรวดเล็กๆให้สามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจนสำเร็จ แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ซึ่งนอกจากปัญหาทางด้านเทคนิคที่ต้องหาทางแก้ให้ได้แล้ว ยังมีปัญหาครอบครัวของแต่ละคน รวมทั้งครูใหญ่ของโรงเรียนที่ไม่ให้การสนับสนุน  แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันมันมาได้ในที่สุด

                   นอก จากแรงบันดาลใจและความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญยิ่งในความสำเร็จของพวกเขาก็คือ ครูสอนคณิตศาสตร์สาวที่มีวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริงจนวาระสุดท้ายของ ชีวิต โดยไม่นิ่งดูดาย แต่ให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือเด็กเหล่านี้อย่างเต็มที่ เท่าที่ครูชนบทคนหนึ่งจะทำได้




ตอนที่หนังเรื่องนี้ออกให้เช่าในร้านเช่าหนัง มีร้านเช่าขนาดใหญ่ติดป้ายไว้ข้างหนังว่า คุณจะต้องรักหนังเรื่องนี้ หากไม่แล้วเรายินดีคืนเงินให้  เชื่อ ว่าใครที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะครูและนักเรียน นอกจากจะได้หัวเราะและร้องไห้ไปกับเรื่องราวที่น่าประทับใจแล้ว ยังจะได้แรงบันดาลใจในการทำความฝันที่หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นจริงขึ้นมาได้ ตามคำพูดในหนังที่ว่า “Sometimes one dream is enough to light up the whole sky.”                



Homer เมื่อเข้าร่วมประกวดผลงานใน Science Fair, ปี ค.ศ. 1960


เกล็ดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้- ตอนแรกผู้สร้างหนังจะใช้ชื่อเรื่องว่า “Rocket Boys”  (เด็กจรวด??) ซึ่งเป็นชื่อหนังสือที่นำมาใช้สร้างหนัง แต่โชคดีที่ Universal Pictures ทำการสำรวจความคิดเห็นแล้วพบว่า ผู้หญิงที่อายุเกิน 30 จะไม่ดูหนังที่ใช้ชื่อดังกล่าว จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “October Sky”



Homerกับภรรยา Linda และสัตว์เลี้ยง (Paco แมวตัวกลาง เคยได้ทดลองบินกับยาน Columbia ด้วย)

หมายเหตุ
- ในปี ค.ศ. 1957 สหภาพโซเวียตได้ส่งยานอวกาศ Sputnik ขึ้นสู่วงโคจรโลกในวันที่ 4 ตุลาคม
- จากสัมภาษณ์ของ
Homer เขาไม่ใช่คนเก่งเลข แต่ชอบอ่านหนังสือกับวิชาภาษาอังกฤษมาก จนเคยคิดอยากจะเป็นนักเขียน จนกระทั่งตอนเรียนอยู่ม.4 หลังจากได้เห็นยาน Spunik เขาก็อยากเป็นวิศวกรสร้างจรวด ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้เขาตั้งใจเรียนเลข ซึ่งเขาต้องอ่านหนังสือคณิตศาสตร์ระดับสูงเองจนเข้าใจ เพื่อใช้ในการคำนวณออกแบบจรวด รวมทั้งต้องเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องวัสดุ การเขียนแบบทางวิศวกรรมและอื่นๆด้วย
- คำพูดที่
Homer ชอบและใช้เป็นแรงบันดาลใจเสมอ คือคำพูดของเพื่อนชื่อ O’Dell ที่อยู่ในกลุ่มสร้างจรวดที่ว่า A rocket won't fly unless somebody lights the fuse!" ซึ่งใช้กับสิ่งอื่นๆในชีวิตที่ไม่ใช่เรื่องจรวดได้ด้วย
-
Homer ได้ปลดเกษียณตอนอายุ 55 จากงานที่องค์การนาซ่า (หลังจากทำงานมาร่วม 30 ปี) เพื่อหันมาเป็นนักเขียนที่เคยไฝ่ฝันไว้ในตอนเด็ก

หลัง October Sky ที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของเจค ถัดมาอีก 2 ปี เจคเริ่มเติบโตในวงการมากขึ้น แต่การเติบโตของเขาเน้นไปที่การเลือกเล่นหนังอินดี้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเลี่ยงที่จะแสดงหนังตามกระแสฮอลลีวู้ดเหมือนที่ดาราวัยรุ่นส่วนใหญ่นิยม ทำกัน แม้จะมีหนังที่ทำให้แปลกใจในการเลือกเล่นอยู่บ้างอย่าง Bubble Boy(2001) แต่ เมื่อพิจารณาว่านี่คือหนังวัยรุ่นที่พล็อตเรื่องแปลกประหลาดและแหวกแนวไปจาก หนังวัยรุ่นหวานแหวว ทะลึ่งตึงตังส่วนมากที่นิยมสร้างในช่วงเวลานั้น จึงพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมเจคถึงเลือกแสดงในหนังเรื่องนี้


Bubble Boy กำกับโดย แบลร์ เฮนย์ส(ไปทำอะไรอยู่ไหนแล้วไม่รู้) เจครับบทเป็นเด็กหนุ่มที่เป็นโรคประหลาด ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพอากาศปกติอย่างที่คนทั่วไปเขาอยู่กัน เขาต้องอาศัยอยู่ในบ้านลูกโป่งขนาดยักษ์ที่ปรับสภาพอากาศให้เหมาะสมสำหรับ เขา นั่นจนกระทั่งสาวข้างบ้านที่เป็นทั้งเพื่อนและคนที่เขาแอบปลื้ม ตัดสินใจจะแต่งงาน เขาจึงตัดสินใจออกจากลูกโป่งยักษ์อันนั้น แล้วเข้าไปอยู่ในลูกโป่งเล็กที่คลุมตัวได้เท่านั้น เพื่อเดินทางตามหารักแรกและรักแท้ของตัวเขา หนังเรื่องนี้ไม่ดังนัก คำวิจารณ์ก็ค่อนไปในทางแย่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะชอบเจคหรือเปล่า ผมจึงดูหนังเรื่องนี้ได้เพลินๆ ฮาบ้างเป็นระยะ และพบว่ามันน่ารักกว่าที่คิด แม้จะรู้สึกว่าเคมีระหว่างเจคและนางเอก...ดูไม่ค่อยเข้ากันนักก็ตาม





เจคมาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในหนังอินดี้เรื่องฮิตของเด็กแนว เป็นหนังเรื่องแรกๆที่ทำให้ผมรู้จักคำว่าหนัง คัลท์ แม้จะไม่เข้าใจว่าความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไรก็ตาม หนังเรื่องที่ว่าคือ Donnie Darko(2001) ผลงานกำกับเรื่องแรกของ ริชาร์ด เคลลี่ แต่ชื่อขายที่แท้จริงของหนังเรื่องนี้ในช่วงต้นคือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ เพราะนอกจากเธอจะเป็นชื่อขายในฐานะดาราที่นำแสดง(ที่ดังที่สุด)แล้ว ดรูว์ยังเป็นผู้อำนวยการสร้างของหนังเรื่องนี้ด้วย บอกตรงๆว่าผมได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งเดียว จากแผ่นลิขสิทธิ์ในร้านเช่าหนัง ทั้งร้านมีแต่แผ่นพากย์ไทยที่พากย์ได้อุบาทว์มากๆอย่างไม่น่าให้อภัย และทำให้ความน่าดูของหนังหายไปมากกว่าครึ่ง ผมจึงสรุปได้ว่าไม่ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจในสิ่งที่หนังต้องการสื่อสาร หลังจากนั้นพยายามหาจากร้านอื่นๆ ก็พบว่าหนังเรื่องนี้มีแต่แผ่นพากย์ไทย ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น


ครั้งแรกที่ Donnie Darko ออกฉาย หนังได้รับเสียงตอบรับทั้งดีและร้าย การออกฉายครั้งแรกให้ผลลัพภ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่หลังจากออกดีวีดีเวอร์ชั่นไดเร็คเตอร์คัท หนังกลายเป็นที่นิยมของคนดูกลุ่มหนึ่งขึ้นมา จนกลายเป็นกระแสปากต่อปากตามมา และถูกนำกลับมาฉายรอบดึกในโรงหนังอีกครั้ง และเป็นที่นิยมจนสามารถยืนระยะการฉายได้ยาวนานที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว Donnie Darko กลายเป็นงานแจ้งเกิดของทั้งเจคและผู้กำกับริชาร์ด เคลลี่ แต่หลังจากเป็นที่รู้จัก เจคยังคงเดินหน้ากับการรับงานหนังอินดี้ ที่มาพร้อมกับชื่อผู้กำกับที่น่าสนใจ และพล็อตเรื่องที่แตกต่างไปจากหนังส่วนใหญ่ที่ผู้ชมนิยมดู นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกทึ่งในตัวเขามากยิ่งขึ้น


Lovely and Amazing(2001) ผล งานของผู้กำกับหญิง นิโคล โฮลอฟซีเนอร์(Friends with Money) เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้หญิงในครอบครัวหนึ่ง เจครับบทเป็นพนักงานร้านถ่ายรูปที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่อายุมากกว่า อย่าง แคทเธอรีน คีเนอร์(นางเอกเจ้าประจำในหนังทุกเรื่องของ โฮลอฟซีเนอร์) ด้วยความที่นี่คือหนังหญิงๆ ผมเลยรู้สึกเฉยๆกับหนังเรื่องนี้ หนังเรื่องต่อมาของเจค คือหนึ่งในหนังที่ผมชอบมากๆ นั่นคือ The Good Girl(2002) ผล งานการกำกับของมิเกล อาร์เตต้า(Chuck & Buck) หนังเล่าเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง(รับบทโดย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน)ที่เบื่อหน่ายกับชีวิตครอบครัวที่สามี(จอห์น ซี รีลลี่)ดูจะสนใจเรื่องอื่นมากกว่าตัวเธอ เมื่อเธอได้เจอเด็กหนุ่ม(ที่รับบทโดยเจค)ที่เป็นเพื่อนร่วมงานคนใหม่ของเธอ ทำให้ความรู้สึกของเธอซู่ซ่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ความสัมพันธ์ที่เกินเลยนั้น จะทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


แม้สุดท้ายคนที่ได้รับความดีความชอบไปเต็มๆจากหนังเรื่องนี้คือ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน แต่บรรดาดารารอบข้างเธอทั้งเจค,รีลลี่ และสาวตาโตซูอี้ เดสชาแนล(ในผลงานชิ้นแรกที่ผมได้ทำความรู้จักเธอ และมาเพื่อโขมยทุกซีน) ก็คือแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยทำให้หนังดีๆเรื่องนี้ สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไปอีก(หนังเรื่องนี้ทำให้ผมรัก เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยชอบเธอเลย) เจคยังคงได้ใจผมไปอย่างต่อเนื่อง ในผลงานชิ้นถัดมาของเขาคือ Moonlight Mile(2002) ผลงานการกำกับของ ริชาร์ด ซิลเบอร์ลิง(Casper) นี่คือหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมที่สุดในใจผมตลอดกาล(ติด 10 อันดับแรกแน่นอน)





หนังเรื่องนี้เจคได้ร่วมงานกับนักแสดงระดับตำนานอย่างดัสติน ฮอฟแมน,ซูซาน ซาแรนดอน,ฮอลลี่ ฮันเตอร์ รวมทั้งเป็นหนังที่ทำให้ผมตกหลุมรัก(อีกแล้ว)เอลเลน ปอมปีโอ นางเอกของหนังเรื่องนี้(รู้สึกจะตกหลุมรักนางเอกเจคทุกคน) ทั้งที่ตอนแรกรู้สึกว่าทำไมนางเอกดูแก่กว่าพระเอกจัง(วะ) แต่หลังจากที่ตัวละครนางเอกออก ผมว่าเธอทำให้หนังเรื่องนี้มีชีวิตมากยิ่งขึ้น ดูจริงขึ้น ถึงขึ้นที่น่าจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ได้เลย(หนังเรื่องนี้ ออกฉายก่อนที่เธอจะเป็นที่รู้จักของคอซีรี่ย์จากบทด็อกเตอร์เกรย์ใน Grey’s Anatomy)


เรื่องนี้เจครับบท โจ แนช(เป็นชื่อตัวละครที่จำได้แม่นที่สุดในทุกบทที่เจคเล่น) นักศึกษาหนุ่มที่กำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่สุดท้ายงานแต่งต้องถูกยกเลิกเพราะว่าที่เจ้าสาวถูกยิงตาย และเรื่องราวหลังจากนั้นคือการพยายามทำใจ การพยายามเริ่มต้นใหม่หลังการสูญเสียของผู้เกี่ยวข้องทุกคน ฮอฟแมนและซาแรนดอนรับบทเป็นพ่อและแม่ของว่าที่เจ้าสาว ที่มาถึงตอนนี้พยายามจะทำให้ว่าที่ลูกเขย กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แทนลูกสาวที่จากไป ฮันเตอร์เป็นทนายความที่ว่าความให้ครอบครัวนี้ และปอมปีโอเป็นพนักงานไปรษณีย์ที่มีบาดแผลจากการรอคอยคนรักที่หายสาปสูญไป เมื่อเธอได้พบตัวละครที่เจครับบท มันเหมือนตัวละครทั้งสองเป็นทั้งเงาสะท้อนและส่วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน ก่อนที่ทุกคนจะได้ค้นพบคำตอบของคุณค่าแห่งการมีชีวิต และเติบโตจากเหตุการณ์ความสูญสียที่เกิดขึ้น นี่คือหนังของเจคที่ผมดูบ่อยมากไม่ต่ำกว่า 10 รอบแน่ๆ และอิ่มเอมใจ ตื้นตันใจทุกครั้งที่ได้ดู เจครับบทผู้ชายที่กำลังค้นหาตัวตนที่หายไปของตัวเองได้ดีมากๆ ผ่านแววตาที่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา


เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ ผู้กำกับและเขียนบท ซิลเบอร์ลิง บอกว่านี่คือหนังที่เป็นอัตชีวประวัติส่วนตัวของเขาเอง และส่วนสำคัญที่ทำให้ชอบหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นคือ เพลงประกอบเกือบทุกเพลงที่แสนจะไพเราะ และเข้ากับตัวหนังอย่างที่สุด หลังแสดงหนังอินดี้ที่น่าสนใจ แต่ไม่เปรี้ยงปร้างมากนัก หนังเรื่องต่อมาที่เจคแสดง น่าจะช่วยทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนดูในวงกว้างได้มากขึ้น เพราะมันคือหนังพิบัติภัยฟอร์มใหญ่จากผู้กำกับ ID4 โรแลนด์ เอ็มเมอร์ริช เรื่อง The Day After Tomorrow(2004) หนังที่ถ้าไม่ได้ดู บอกตรงๆว่านึกภาพไม่ออกว่าหนุ่มจ๋องๆอย่างเจค จะเล่นหนังแนวนี้ได้อย่างไร





The Day After Tomorrow เจครับบทเป็นลูกชายของ เดนนิส เคว็ด ผู้เชี่ยวชาญด้านพิบัติภัยที่เป็นหนึ่งในผู้ค้นพบว่า โลกกำลังดำเนินมาถึงกาลอวสานในเร็ววันนี้ ส่วนเจคที่รับบทเป็นลูกชายของเคว็ดที่เดินทางไปอีกซีกประเทศ ก็กำลังถูกถล่มด้วยพายุหิมะขนาดใหญ่ และเป็นหน้าที่ของพ่อที่ต้องไปตามตัวลูกชาย ให้กลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ บอกตรงๆนี่คือหนังพิบัติภัยที่จืดชืด ไร้ซึ่งฉากลุ้นระทึกให้ตื่นเต้น แทบไม่มีคนตาย แต่หนังมีข้อดีที่ทดแทนได้คือสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กที่ทำได้เนียนมากๆ และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องนี้เจคหล่อมาก และจับคู่กับนางเอกที่สวยได้คู่ควรที่สุดอย่าง เอ็มมี่ รอสซั่ม(แต่ผมไม่ตกหลุมรักเธอนะ)


หลังหนังฟอร์มยักษ์ เจคกลับไปหาหนังฟอร์มเล็กๆที่เขาคุ้นเคย แต่มีชื่อผู้กำกับที่ใหญ่ยิ่งกว่าหนังฟอร์มใหญ่หลายๆเรื่อง เริ่มจากหนังที่ส่วนตัวผมคิดว่าบทที่ได้รับเมาะเหมาะกับเขามากๆนั่นคือ Brokeback Mountain(2005) ที่ ว่าเหมาะเพราะหน้าเขาดูว้านหวาน เหมาะกับการเล่บบทเกย์มากๆ ผลงานกำกับของอังลี(Crouching Tiger, Hidden Dragon) เรื่องนี้ขอไม่กล่าวถึง เพราะคิดว่าทุกคนคงรู้จักกันดีอยู่แล้ว ขอกล่าวสั้นๆเพียงว่านี่คือหนังที่ทำให้เจคได้รับรางวัล บาฟต้า ออสการ์ของอังกฤษ และได้เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ส่วนตัวขอบอกว่าไม่ค่อยอินกับหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ ชอบเจคในหนังเรื่องอื่นมากกว่า





เจคได้ร่วมงานกับผู้กำกับเครดิตออสการ์อย่างต่อเนื่อง ผลงานเรื่องต่อมาของเขาคือ Proof(2005) ที่ เขารับบทชายหนุ่มลึกลับที่เข้ามาพัวพันในชีวิตนางเอก กวินเน็ธ พัลโทรว์ ในช่วงที่เธอกำลังสับสนในชีวิตสุดๆ เรื่องนี้เจคได้แสดงกับนักแสดงระดับฝีมือหลายท่านเลย ทั้งพัลโทรว์(ที่เหมือนจะแก่กว่าเจคสักรอบหนึ่ง น่าจะเหมาะเป็นพี่สาวน้องชายมากกว่า),แอนโธนี่ ฮ็อปกินส์(จำไม่ได้ว่าได้เข้าฉากด้วยกันไหม)และโฮ้ป เดวิส หนังเรื่องนี้กำกับโดย จอห์น แมดเด็น จาก Shakespeare in Love ส่วนตัวชอบฉากที่เจคตีกลองมากๆ มันดูแมนดี


Jarhead(2005) ผลงานกำกับของ แซม เมนเดส จาก American Beauty มีคนกล่าวว่านี่คือหนังสงครามแนวชีวิต เพราะตลอดทั้งเรื่องมีแต่ฉากการฝึก ไม่มีฉากรบพุ่งแต่อย่างใด(เรื่องนี้ผมยังไม่มีโอกาสได้ดู ทั้งที่ได้แผ่นมากองไว้นานแล้ว อาจจะเพราะไม่ใช่แนวหนังที่อยากดูก็เป็นได้) หลังแสดงหนังสงคราม เจคเปลี่ยนบรรยากาศมาแสดงในหนังแนวสืบสวนสอบสวนปนระทึกขวัญ ที่สร้างจากเหตุการณ์จริง ผ่านการเล่าเรื่องของนักข่าวหนุ่มที่เจครับบทนั้น หนังเรื่องที่ว่าคือ Zodiac(2007) หนังที่กำกับโดยผู้กำกับมหัศจรรย์ เดวิด ฟิชเชอร์(Se7en,Fight Club,The Curious Case of Benjamin Button) หนังเน้นเรื่องการสืบสวนมากกว่าจะเน้นความตื่นเต้น แต่ขอบอกว่าฉากตื่นเต้นฉากหนึ่งในเรื่อง ผู้กำกับทำได้ถึงมากๆ ทั้งๆที่เราก็รู้แล้วว่าตัวละครไม่ตาย เพราะเขาเป็นตัวละครที่เล่าเรื่อง ต้องขอบอกว่าเดวิด ฟิชเชอร์ท่านเก่งมาก มหัศจรรย์จริงๆ





ผลงานสองเรื่องก่อนหน้า Prince of Persia : The Sands of Time หนุ่มเจคก็ยังคงร่วมงานกับผู้กำกับระดับออสการ์เช่นเดิม เรื่องแรกคือ Rendition(2007) ที่ กำกับโดย เกวิน ฮู้ด เจ้าของออสการ์สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมจาก Tsotsi หนังเรื่องนี้เจคได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือหลายท่าน ทั้งรีส วิทเธอร์สปูน(ที่ครั้งหนึ่งเราเคยรักกัน),เจ้าป้าเมอรีล สตรีพ,อลัน อาร์กิ้น และ(พี่เขยในชีวิตจริง)ตี๋ฝรั่ง ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด หนังเรื่องนี้ทำรายรับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งที่ฟอร์มดีมากๆ ดาราก็ดีเลิศ กระแสบอกว่าเพราะคนดูไม่อยากดูหนังที่เล่นประเด็นสงครามอิรักอีกแล้ว จึงพร้อมใจกันเมินใส่หนังแนวนี้ทุกเรื่องที่ออกฉายช่วงนั้น(เจ้าป้าเล่นหนัง แนวนี้อีกเรื่องในช่วงไล่เลี่ยกันคือ Lions for Lambs ที่แม้จะมีชื่อขายทั้งโรเบิร์ต เรดฟอร์ด,ทอม ครูซ และเจ้าป้าเอง แต่หนังก็ยังเจ๊งไม่เป็นท่า) และจนป่านนี้ผมเองยังไม่มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้เลย


เรื่องสุดท้ายที่จะกล่าวถึง ผมก็ยังไม่ได้ดูเช่นกัน นั่นคือ Brothers(2009) ผลงานของผู้กำกับ จิม เชอริแดน(จาก In the Name of the Father หนึ่งใน 10 หนังในดวงใจผมอีกเรื่อง) เรื่องนี้เจครับบทน้องชายของ โทบี้ แม๊คไกวร์ ที่ต้องดูแลพี่สะใภ้ที่รับบทโดย นาตาลี พอร์ทแมน แทนพี่ชายที่สาปสูญไปในการออกรบ จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่หนังที่เจครับแสดง จะเป็นหนังชีวิตที่เน้นการแสดงความรู้สึกจากข้างใน นอกจากบทที่น่าจะเป็นปัจจัยใหญ่ในการรับงานแสดง ผู้กำกับก็ดูจะเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนในการเลือกรับงานของเขา เครดิตผู้กำกับที่เจคได้ร่วมงานด้วยจึงออกมาดูดีมีราคามากๆ(เจคจะตามหลังผู้ กำกับ ไมค์ นีเวลล์(Four Weddings & a Funeral หนังในดวงใจผมอีกเรื่อง)จาก Prince of Persia ด้วย เอ็ดเวิร์ด ซวิก,เดวิด โอ รัสเซลล์ และดันแคน โจนส์ แต่ละคนเครดิตเยี่ยมๆทั้งนั้น)


และเพราะการรับงานที่มีคุณภาพมาตลอดของเขา จึงทำให้ข่าวการรับบทพระเอกในหนังแอ๊คชั่นที่สร้างมาจากเกมอย่าง Prince of Persia เป็นความประหลาดใจสำหรับแฟนเจคอย่างผม นี่คือการเปลี่ยนแนวครั้งสำคัญ เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่เจคต้องรับผิดชอบแบกหนังไว้บนบ่าได้มากเท่านี้อีก แล้ว แต่จากเครดิตผลงานที่ผ่านมา เจคช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ดูแพงมากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว(เหมือนที่เครดิตทั้ง ชีวิตของจอห์นนี่ เด็ปป์ ช่วยทำให้ Pirates of the Caribbean ดูแพงมากยิ่งขึ้น) และสำหรับแฟนหนังของเจค(ที่พลาดหนัง 2 เรื่องหลังของดาราคนโปรดซะงั้น) ไม่มีครั้งไหนที่จะลุ้นหนังเจคบนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศด้วยใจที่ระทึกเท่านี้อีก แล้ว ไม่ว่าหนังจะฮิตหรือจะคว่ำ ขอสัญญาตรงนี้ว่าเรื่องนี้จะไปดูในโรงให้จงได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น