- ธนาคารต้นไม้ Asset ที่น่าลงทุนอย่างหนึ่งในความคิดผม แต่ช้าแต่ ต้องไปคิดดูถึงจุดคุ้มทุนในอนาคตก่อน
- อัพเดตเทรดค่าเงิน ทั้งคืนค่าเงินที่เล่นยังเป็นไซด์เวย์อยู่ แนวโน้มใหญ่เป็นขาขึ้นลุ้นต่อไป ว่าจะพีคกระฉูดตามที่คาดการไว้หรือไม่ จุดต๊อบลอสยังวางไว้เท่าเดิม
- เจอปัญหา คนขี้ใจน้อย และน้อยใจ อีกคนก็คิดมากคิดแต่แง่ลบแล้วก็น้อยใจดื้อด้อยไม่รู้จักโต
Weekly Revision คือ หนึ่งเครื่องมือที่ให้ภาพรวมๆ ของพื้นฐาน และ ราคาหุ้น ...โดย นักแกะรอยหยัก
โดย Bualuang Securities เมื่อ 4 กันยายน 2012 เวลา 8:27 น. ·
รายงานนี้ "บัวหลวง" จัดให้เรื่อยๆ น่ะ ...ส่งตรงถึง email
สิ่งที่ รายงานนี้ ช่วยเราได้คือ "เขาให้ Target Price แบบกว้างๆ ของหุ้นทุกตัวที่บัวหลวงมีบทวิจัย Cover" ..ลองดู

อัน แรก แนะนำ "ซื้อ หรือ ขาย" อันนี้อย่างที่บอก ไม่สำคัญ เพราะ คุณมอง Time-Frame ต่างกัน ดังนั้น คุณอาศัย Technical มาช่วยจะดีกว่า
ตัว ต่อไป Target Price คือ "เป้าหมายราคาแรก ที่นักวิเคราะห์บัวหลวงมองว่าจะไปถึง...ส่วนถัดมาคือ SAA Consensus ก็คือ เป้าหมายที่นักวิเคราะห์จากที่อื่นๆ มองรวมๆ ว่าเป้าหมายราคาจะเป็นเท่าไหร่ (ให้เทียบกัน)" -- แต่ก็อย่างที่บอกว่า ราคาหุ้นมันไม่ได้ ขึ้น-ลง ตามพื้นฐาน แต่มันขึ้นลงตาม Demand & Supply ของนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขาย ดังนั้น ราคามันเป็นเพียง Guldeline ของราคา ที่โดยมาก "ราคาเป้าหมาย" มักจะเป็นราคาที่ไปไม่ถึง หรือ ถ้าไปถึงก็จะเลยไปเลย ..."เพราะอะไร" -- ก็อย่างที่บอกครับ มนุษย์มีความโลภความกลัว ดังนั้น ราคาจะไม่ เคยหยุดอยู่ที่พื้นฐาน ...ในขาขึ้น นักลงทุนมักโลภ ก็แห่กันซื้อจนราคาเลยพื้นฐาน ...ส่วนขาลง นักลงทุนมักแห่ขายด้วยความกลัวจนราคาลงต่ำกว่าพื้นฐาน
ที่พูด มาเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ที่นักวิเคราะห์ ก็อาจลดเป้าหมาย หรือ เพิ่มเป้าหมายได้ -- ดังนั้น "เป้าหมายของราคา (Target Price) มันไม่ใช่อะไรที่จะต้องตายตัว ..มันเป็นมุมมอง ที่ช่วยให้เราทราบคร่าวๆ เท่านั้น ว่า จากพื้นฐานธุรกิจ ยอดขาย กำไร รวมกันแล้ว หุ้นนั้นๆ ควรมีราคาเท่าไหร่แค่นั้นเอง" -- ส่วนการขึ้นลง ก็ไม่ใช่พื้นฐานกำหนด ..นักลงทุนต่างหากที่เอา "ความโลภ ความกลัวกำหนด" โดยมีพื้นฐานเป็น Guldeline บ้าง ก็เท่านั้นเอง
ต่อมา Beta คือ ความผันผวน ...ตัวไหน Beta มาก ก็มี Trade มัน ได้เสียเยอะ เพราะว่า "ผันผวน ก็แปลว่า มันแกว่งมากกว่าตลาด" (ถ้า Beta เท่ากับ1 ก็แปลว่า มันแกว่งตาม SET ...แต่ถ้าน้อยกว่า 1 ก็คือ แกว่งน้อยกว่าตลาด ..ถ้ามากกว่า 1 ก็แปลว่า แกว่งมากกว่าตลาด)
(12) PER กับ (12) EV/EBITDA .. ก็คือ การคำนวณค่า PE ในกรอบ 12 เดือน ..ส่วน EV/EBITDA ก็เป็นการหาค่า ความถูกแพงอีกวิธีนึง ...ก็ลองเทียบกันดู ...ว่าตัวไหน ที่เราชอบมากกว่า (เบื้องต้น PER (P/E) เป็นการ หาจำนวนปีที่คืนทุน ..เช่น PER = 10 เท่า ก็แปลง่ายๆ ว่า ถ้าซื้อหุ้นนี้ ที่ราคานี้ แล้วหุ้นมีกำไรต่อหุ้นเท่านี้ -- เขาก็บอกว่า ถ้าแบบนี้ คุณในฐานะเจ้าของ จะได้เงินลงทุนคืนในกี่ปี) -- พวกนี้ก็เป็นภาพ ที่เขามาประกอบอีกนั่นแหละครับ เพื่อเทียบว่า "ราคาหุ้น เมื่อเทียบกับ รายได้ของบริษัท ..มีความถูกหรือแพงอย่างไร" ....ก็นึกง่าย P/E 100 เท่า อย่าง Facebook ก็ 100 ปี คืนทุนน่ะ ...ราคาถึง มันส์กระจาย อย่างที่เขาหนีตายกัน...555
(12) P/BV ก็เป็นการหาความถูกแพง โดยใช้ "ราคาหุ้น เทียบกับ Book Value" ก็เทียบกับ Asset หักหนี้ออกไป ...ซึ่งค่านี้ ถ้าเท่ากับ 1 ก็เท่ากับว่าเรา กับ เจ้าของลงทุนเท่ากัน ...โดย มากถ้าไม่มีวิกฤต P/BV ควรมากกว่า 1 อยู่แล้ว เพราะ เจ้าของบริษัท เขาย่อมต้องลงทุนเพื่อให้ได้กำไรมากกว่า นักลงทุน (แนวคิดที่ว่า ก็คือ เขามองว่า นักลงทุน ไม่ใช่เจ้าของ ไม่ได้ลำบากมากับธุรกิจ การจะซื้อหุ้น ก็ควรจ่าย Premium นั่นเอง ดังนั้น โดยภาวะปกติ P/BV มันน่าจะมากกว่า 1) ...ค่านี้ ใช้ได้ดีในเวลา วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะหุ้นทุกตัวจะลงมาต่ำ ...ตรงนี้จะทำให้เราเทียบหามูลค่า Asset จริงๆ ของกิจการ ...ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งถูก!!
Dividend Yield ก็ คำนวณปันผล เทียบราคาหุ้น ... "ตรงนี้ เขาจะโชว์ให้ดูว่า ในเรื่องของปันผล(อย่างเดียว) ถ้าซื้อแล้วถือ มันเทียบกับ ดอกเบี้ยใน Asset ที่คุณถือที่อื่นๆ อย่างไร"
ครับ ก็ประมาณนี้ ..."นี่ก็เป็นอีก รายงานที่ Provide ภาพพื้นฐาน ของหุ้น ในแบบคร่าวๆ ช่วยในการตัดสินใจของเราได้" ...แต่ในส่วนจังหวะ ก็อย่างที่บอก ว่าคุณควรศึกษา Technical แล้ว อาศัย Technical ในการหาจังหวะ การซื้อขายต่อไป นั่นเอง!!



สิ่งที่ รายงานนี้ ช่วยเราได้คือ "เขาให้ Target Price แบบกว้างๆ ของหุ้นทุกตัวที่บัวหลวงมีบทวิจัย Cover" ..ลองดู

อัน แรก แนะนำ "ซื้อ หรือ ขาย" อันนี้อย่างที่บอก ไม่สำคัญ เพราะ คุณมอง Time-Frame ต่างกัน ดังนั้น คุณอาศัย Technical มาช่วยจะดีกว่า
ตัว ต่อไป Target Price คือ "เป้าหมายราคาแรก ที่นักวิเคราะห์บัวหลวงมองว่าจะไปถึง...ส่วนถัดมาคือ SAA Consensus ก็คือ เป้าหมายที่นักวิเคราะห์จากที่อื่นๆ มองรวมๆ ว่าเป้าหมายราคาจะเป็นเท่าไหร่ (ให้เทียบกัน)" -- แต่ก็อย่างที่บอกว่า ราคาหุ้นมันไม่ได้ ขึ้น-ลง ตามพื้นฐาน แต่มันขึ้นลงตาม Demand & Supply ของนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขาย ดังนั้น ราคามันเป็นเพียง Guldeline ของราคา ที่โดยมาก "ราคาเป้าหมาย" มักจะเป็นราคาที่ไปไม่ถึง หรือ ถ้าไปถึงก็จะเลยไปเลย ..."เพราะอะไร" -- ก็อย่างที่บอกครับ มนุษย์มีความโลภความกลัว ดังนั้น ราคาจะไม่ เคยหยุดอยู่ที่พื้นฐาน ...ในขาขึ้น นักลงทุนมักโลภ ก็แห่กันซื้อจนราคาเลยพื้นฐาน ...ส่วนขาลง นักลงทุนมักแห่ขายด้วยความกลัวจนราคาลงต่ำกว่าพื้นฐาน
ที่พูด มาเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ที่นักวิเคราะห์ ก็อาจลดเป้าหมาย หรือ เพิ่มเป้าหมายได้ -- ดังนั้น "เป้าหมายของราคา (Target Price) มันไม่ใช่อะไรที่จะต้องตายตัว ..มันเป็นมุมมอง ที่ช่วยให้เราทราบคร่าวๆ เท่านั้น ว่า จากพื้นฐานธุรกิจ ยอดขาย กำไร รวมกันแล้ว หุ้นนั้นๆ ควรมีราคาเท่าไหร่แค่นั้นเอง" -- ส่วนการขึ้นลง ก็ไม่ใช่พื้นฐานกำหนด ..นักลงทุนต่างหากที่เอา "ความโลภ ความกลัวกำหนด" โดยมีพื้นฐานเป็น Guldeline บ้าง ก็เท่านั้นเอง
ต่อมา Beta คือ ความผันผวน ...ตัวไหน Beta มาก ก็มี Trade มัน ได้เสียเยอะ เพราะว่า "ผันผวน ก็แปลว่า มันแกว่งมากกว่าตลาด" (ถ้า Beta เท่ากับ1 ก็แปลว่า มันแกว่งตาม SET ...แต่ถ้าน้อยกว่า 1 ก็คือ แกว่งน้อยกว่าตลาด ..ถ้ามากกว่า 1 ก็แปลว่า แกว่งมากกว่าตลาด)
(12) PER กับ (12) EV/EBITDA .. ก็คือ การคำนวณค่า PE ในกรอบ 12 เดือน ..ส่วน EV/EBITDA ก็เป็นการหาค่า ความถูกแพงอีกวิธีนึง ...ก็ลองเทียบกันดู ...ว่าตัวไหน ที่เราชอบมากกว่า (เบื้องต้น PER (P/E) เป็นการ หาจำนวนปีที่คืนทุน ..เช่น PER = 10 เท่า ก็แปลง่ายๆ ว่า ถ้าซื้อหุ้นนี้ ที่ราคานี้ แล้วหุ้นมีกำไรต่อหุ้นเท่านี้ -- เขาก็บอกว่า ถ้าแบบนี้ คุณในฐานะเจ้าของ จะได้เงินลงทุนคืนในกี่ปี) -- พวกนี้ก็เป็นภาพ ที่เขามาประกอบอีกนั่นแหละครับ เพื่อเทียบว่า "ราคาหุ้น เมื่อเทียบกับ รายได้ของบริษัท ..มีความถูกหรือแพงอย่างไร" ....ก็นึกง่าย P/E 100 เท่า อย่าง Facebook ก็ 100 ปี คืนทุนน่ะ ...ราคาถึง มันส์กระจาย อย่างที่เขาหนีตายกัน...555
(12) P/BV ก็เป็นการหาความถูกแพง โดยใช้ "ราคาหุ้น เทียบกับ Book Value" ก็เทียบกับ Asset หักหนี้ออกไป ...ซึ่งค่านี้ ถ้าเท่ากับ 1 ก็เท่ากับว่าเรา กับ เจ้าของลงทุนเท่ากัน ...โดย มากถ้าไม่มีวิกฤต P/BV ควรมากกว่า 1 อยู่แล้ว เพราะ เจ้าของบริษัท เขาย่อมต้องลงทุนเพื่อให้ได้กำไรมากกว่า นักลงทุน (แนวคิดที่ว่า ก็คือ เขามองว่า นักลงทุน ไม่ใช่เจ้าของ ไม่ได้ลำบากมากับธุรกิจ การจะซื้อหุ้น ก็ควรจ่าย Premium นั่นเอง ดังนั้น โดยภาวะปกติ P/BV มันน่าจะมากกว่า 1) ...ค่านี้ ใช้ได้ดีในเวลา วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะหุ้นทุกตัวจะลงมาต่ำ ...ตรงนี้จะทำให้เราเทียบหามูลค่า Asset จริงๆ ของกิจการ ...ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งถูก!!
Dividend Yield ก็ คำนวณปันผล เทียบราคาหุ้น ... "ตรงนี้ เขาจะโชว์ให้ดูว่า ในเรื่องของปันผล(อย่างเดียว) ถ้าซื้อแล้วถือ มันเทียบกับ ดอกเบี้ยใน Asset ที่คุณถือที่อื่นๆ อย่างไร"
ครับ ก็ประมาณนี้ ..."นี่ก็เป็นอีก รายงานที่ Provide ภาพพื้นฐาน ของหุ้น ในแบบคร่าวๆ ช่วยในการตัดสินใจของเราได้" ...แต่ในส่วนจังหวะ ก็อย่างที่บอก ว่าคุณควรศึกษา Technical แล้ว อาศัย Technical ในการหาจังหวะ การซื้อขายต่อไป นั่นเอง!!



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น