Blog นี้จัดทำขึ้นเพื่อเตือนตัวเอง และมีไว้สำหรับศึกษา ค้นคว้า สำหรับแนวความคิดต่างๆ ที่ผู้เขียนได้พบ ประสบ และได้ศึกษาด้วยตัวเองมา หากมีความผิดพลาดประการใด ขอท่านๆ โด้โปรด ชี้แนะแสดงความเห็น จักเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ขอบคุณด้วยใจจริง From บันทึก ของพ่อ
24-09-2012
วันนี้ตื่นเช้า และอยากจะนอนต่อ ปัญหามากมายเข้ามาในชีวิต ทุกคนล้วนมีปัญหา คนที่ก้าวผ่านปัญหาได้ คือส่วนมากคนที่ไม่ท้อถอย คิดบวก มันต้องดีขึ้นสักวัน มีสติ มีสติ ใช้ปัญญา สมาธิ ใจเย็นไว้ เดินทางต่อ....Go go go gooooo Gold
21-09-2012
เทคนิคคอล
เป็นทริป จาก อ. Rojer FX นะครับ ผมสรุปตามที่ผมเข้าใจ สงสัยกลับไปดูคลิปอาจารย์นะครับ1. EMA หรือพวก Trend ควรใช้เล่นตามเทรน
2. Stochastic หรือพวก Osillators ควรใช้เล่นตอน Side way เท่านั้น เน้นที่
Time fram 5 minไม่เหมาะใช้เล่นตาม เทรน
ค่าที่เซตคือ 0, 10, 25, 50, 75, 90, 100
ที่ค่า 25-75 คือ โซนตามเทรน ลงก็ยังลง ขึ้นก็ยังขึ้น
ที่ค่า 10-25 , 75-90 คือ โซนกลับตัว
ที่ค่า 0-10 90-100 คือ Super โซนซื้อหรือขายมากเกินไปเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
จะมีการเกิดขึ้นอีก และจะจบในโซนกลับตัว แม่นใน Time fram 1H ในเวลาอื่น
ก็พอใช้ได้
3.ข่าว ควรวิเคราะห์ ในข่าวถัดไปด้วย และข่าวจะไม่ตรงเสมอไป แต่ภาพรวมแนวโน้ม
ใหญ่ส่วนมากจะเป็นตามข่าว
เหตุผลที่คนควรหยุดงาน
นิ้วกลมwww.facebook.com/Roundfinger.BOOK
1 เคยคิดเล่นๆ ว่า พนักงานออฟฟิศอย่างเราๆ ควรใช้เวลาทำงานแค่หนึ่งอึดของแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก
หมาย ความว่า ตอนเช้าชาร์จแบตให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วดึงปลั๊กออก หลังจากนั้น ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปจนกว่าแบตจะหมด พอแบตหมดปุ๊บก็เลิกทำ เก็บโน้ตบุ๊ก โบกมือบ๊ายบายเพื่อนร่วมออฟฟิศ ยักคิ้วให้สักสองขยัก แล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อนนอนเล่น หรือประกอบกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่งาน
ผมลองทำแบบนั้นดูแล้ว โน้ตบุ๊กของผมมีอายุขัยถึงประมาณบ่ายสามโมง
โดยเริ่มลืมตาดูโลกตอนประมาณสิบเอ็ดโมง
ช่วงเวลากำลังดีสำหรับพนักงาน
แต่คงสั้นไปมากสำหรับเจ้านาย
ก็แค่สงสัยว่า ทำไมเวลาโน้ตบุ๊ก "แบตหมด" เรายังชาร์จแบตให้มัน แล้วตอนตัวเราเอง "แบตหมด" เราควรจะชาร์จแบตบ้างไหม?
คุณสเตฟาน แซกมายสเตอร์ อาจมีคำตอบ
2 คุณสเตฟานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ชื่อดังจากนิวยอร์ก มีผลงานออกแบบอันเป็นที่ฮือฮามากมายหลายชิ้น ปกซีดีของศิลปินดังๆ หลายต่อหลายปก
แกตั้งเป้าหมายของวิชาชีพเอาไว้ว่า อยากออกแบบกราฟิกดีไซน์ที่จับใจคน (graphic design that touches people"s heart)
ถึงขั้นเขียนเอาไว้ในรายการสิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ซึ่งจะว่าไปเขาอาจจะทำสำเร็จไปหลายชิ้นแล้ว
วิธีการคิดงานและวิธีการทำงานของคุณสเตฟานจึงน่าสนใจ
ที่มาของงานดีไซน์ที่ไปจิ้มหัวใจคนดูได้มันเกิดจากอะไรกันนะ
คุณ สเตฟานแอบมาเผยเคล็ดลับการทำงาน (รวมถึงเคล็ดลับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข) ให้ชาวโลกฟังแบบเบาๆ บนเวที TED และผมแอบเข้าไปฟังเขาพูดในเว็บ www.ted.com
เขาเล่าให้ฟังว่า สตูดิโอออกแบบในนิวยอร์กหรือบริษัทของเขานั้นมีตารางการทำงานประหลาดๆ อย่างหนึ่ง (เขาไม่ได้พูดว่ามันประหลาดหรอกครับ แต่ผมคิดว่ามันประหลาดดี) คือ ทุกๆ เจ็ดปี เขาจะปิดบริษัทหนึ่งปี
ไม่ได้อ่านผิดหรอกครับ หนึ่งปี ไม่ใช่หนึ่งสัปดาห์เหมือนที่เราหยุดกันตอนปีใหม่หรือสงกรานต์
เพื่อให้พนักงานทุกคนในบริษัทออกไปค้นหาและทำการทดลองอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้ในช่วงเวลาที่ยุ่งกับการงานประจำ
ในปีนั้น บริษัทเขาจะไม่รับงานใดๆ ไม่ว่าลูกค้ารายเล็กหรือใหญ่ก็ไม่สน
เขาบอกว่า ในปีนั้นเป็นปีที่มีความสุขและเต็มไปด้วยพลัง
ซึ่งผมเดาว่า มันคงจะเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจด้วยเป็นแน่แท้
3 "ผมเปิดสตูดิโอนี้ขึ้นมาเพื่อจับสองสิ่งที่ผมรักมาผสมผสานกัน นั่นคือ ดนตรีและการออกแบบ" คุณสเตฟานบอกเหตุผลเบื้องหลังจากเปิดบริษัท
แล้ว เขาก็ได้ทำในสิ่งที่รักนั้น ได้ออกแบบปกซีดีมากมายของทั้งวงดังมากและดังไม่มาก แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่า งานดีไซน์ก็คล้ายๆ กับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เขารัก เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกเบื่อ
เบื่อกับสิ่งที่เคยรัก
งานออกแบบที่เคยน่าตื่นเต้นกลายเป็นความซ้ำซาก
มิใช่แค่ในความรู้สึก แต่มันยังแสดงออกมาทางผลงานเลยด้วย
เขา โชว์สมุดบันทึกที่มีการเจาะรูแล้วใส่ลูกตาลงไป ซึ่งก็ดูเป็นลูกเล่นที่แปลกใหม่ แต่มันก็เริ่มซ้ำกับงานชิ้นที่ออกมาหลังจากนั้น คือกล่องใส่น้ำหอมที่ทำเป็นหนังสือแล้วเจาะรูเพื่อใส่ขวดน้ำหอมลงไป
เทคนิคเดียวกัน ลูกเล่นเดียวกัน
งานออกแบบเริ่มวนเวียน ซ้ำซาก ซึ่งอาจจะมาจากความรู้สึกซ้ำซากของคนทำงาน
เมื่อเริ่มรู้สึกว่าซ้ำ เขาจึงตัดสินใจปิดบริษัทไปหนึ่งปีเต็ม
ว่าแล้วเขาก็แสดง "เส้นชีวิต" ของมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ ให้ดู
เป็น "เส้นชีวิต" ที่ชวนให้คิดตาม
และคล้อยตาม
4 เขาแบ่งช่วงเวลาในชีวิตของมนุษย์เราออกเป็นสามส่วน
หนึ่ง, เราใช้ยี่สิบห้าปีแรกไปกับการเรียนรู้
สอง, อีกสี่สิบปีต่อมา เราใช้ไปกับการทำงาน
สาม, สิบห้าปีสุดท้าย เราใช้ไปกับการพักผ่อนหลังเกษียณ
คำถามคือ ทำไมต้องรอไปเกษียณตอนอายุหกสิบกว่าปีด้วยล่ะ?
ทำไมเราไม่หาเวลาพักผ่อนบ้าง ระหว่างช่วงวัยที่กำลังทำงานหนัก?
คุณสเตฟานจึงแนะนำแบบนี้ครับ
เขาลองเฉือนห้าปีจากสิบห้าปีในช่วงเวลาเกษียณออกมา แล้วเอามาเฉลี่ยให้กับสี่สิบปีแห่งช่วงเวลาทำงาน
แทนที่จะทำงานงกๆ (งกเงิน+งกตำแหน่ง) ยาวต่อเนื่องสี่สิบปี ก็กลายเป็นว่า ทำเจ็ดปีแล้วหยุดหนึ่งปีแทน
เจ็ดหยุดหนึ่ง
ห้ารอบก็ครบสี่สิบปีพอดี
แต่แบบนี้มีพักชาร์จพลัง
แหม ก็ทีคอมพิวเตอร์ยังมีชาร์จแบตเลย
ไม่ เพียงได้พักผ่อนยาวๆ หลังจากทำงานหนักมาเจ็ดปีเท่านั้น แต่คุณสเตฟานยืนยันว่า ผลงานหลังการพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งปีนั้น ใหม่ สด และมีคุณภาพที่ดีขึ้นมาก
เขาถึงขั้นบอกว่า ผลงานตลอดเจ็ดปีหลังหนึ่งปีที่ได้หยุดยาวล้วนได้ไอเดียมาจากช่วงเวลาที่หยุดยาวไปเกือบทั้งสิ้น
5 คุณโจนาทาน ไฮดท์ ที่เคยมาพูดบนเวที TED เคยแบ่งลักษณะของการงานออกเป็นสามระดับ
หนึ่ง, Job คือ การทำงานเพื่อเงินเท่านั้น
สอง, Career คือ การทำงานที่เริ่มมีแรงจูงใจมากขึ้น เริ่มคาดหวังการเลื่อนขั้น แต่ก็ยังมีบางช่วงที่รู้สึกว่า โอย งานหนักจัง คุ้มที่จะทำไหมนี่
และระดับสูงสุด, Calling คือ การทำงานที่เราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกับงานนั้นอย่างกลมกลืน เป็นธรรมชาติ ทำงานอย่างมีความสุข
6 พอตัดสินใจหยุดงานหนึ่งปี คุณสเตฟานเลือกไปพักร้อนที่บาหลี
เขาได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ มากมายมาใช้ในงานดีไซน์ของเขา
หมาจรจัดที่บาหลี กลายมาเป็นลายเสื้อเท่ๆ เก้าอี้หวายกลายมาเป็นต้นตอในการดีไซน์เก้าอี้ที่เต็มไปด้วยคำพูด ฯลฯ
เชฟ ที่ดีที่สุดในโลกก็ใช้นโยบายเดียวกับเขา ร้านอาหารของเขาเปิดแค่ปีละเจ็ดเดือน อีกห้าเดือนปิดเพื่อทดลองทำรายการอาหารใหม่ๆ ที่สำคัญ มีคนเข้าคิวจองที่นั่งในร้านอาหารของเขานับล้านคน
บริษัทคุณสเตฟานให้เวลาพนักงานของเขามีเวลาส่วนตัวถึง 12.5%
บริษัท 3M ให้เวลาวิศวกรในบริษัททำอะไรก็ได้ตามใจถึง 15% และไอเดียเจ๋งๆ อย่างสก๊อตช์เทปก็ผุดขึ้นมาในช่วงเวลา "ทำอะไรก็ได้" นี้เอง
บริษัทกูเกิ้ลให้เวลาวิศวกรซอฟต์แวร์ถึง 20% เพื่อทำโปรเจ็กต์ส่วนตัว
การ หยุดพักจากการงานที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี นอกจากจะทำให้ร่างกายและสมองได้ผ่อนคลายแล้ว มันยังเปิดโอกาสให้สมองมีที่ว่างสำหรับการผุดขึ้นของไอเดียใหม่ๆ อีกด้วย
"เวลาว่าง" จึงมิได้ "ว่างเปล่า"
ทว่า มัน "ว่าง" เพื่อเปิดพื้นที่ให้ความคิดใหม่ๆ ได้ก่อเกิดขึ้น
หากไม่มีเวลา "ว่าง" เลย เราก็จะวนเวียนอยู่กับความคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น
7 มิเพียงรู้สึกมีความสุขตอนที่ได้หยุดพักไปหนึ่งปี มีอีกหนึ่งความสุขเกิดขึ้นตอนที่คุณสเตฟานกลับมาทำงานอีกครั้ง
"งานของผมกลับมาอยู่ในสถานะ Calling อีกครั้ง"
ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำงานไปวันๆ เพื่อรอเงินเดือน ไม่ใช่การก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อรอเลื่อนตำแหน่ง
แต่เป็นการทำงานอย่างมีความสุข ทำเพราะอยากทำ กระตือรือร้นที่จะทำ
ทำด้วยความรัก-อีกครั้ง
ไอเดียใหม่ๆ หลั่งไหลออกมามากมาย เขากลับไปตื่นเต้นกับการดีไซน์อีกครั้ง
ก็เหมือนกับคนรัก บางครั้งห่างกันบ้างก็ดี จะได้ตื่นเต้นเมื่อกลับมาจู๋จี๋กันอีกหน
8 เขียนมาถึงตรงนี้ แบตคอมพิวเตอร์ของผมใกล้จะหมดเต็มที แบตเตอรี่ของผมก็เช่นกัน ผมกำลังวางแผนกับตัวเองในใจ ถ้าเราจัดจังหวะชีวิตของเราได้จริงๆ เราจะหยุดกี่เดือนในหนึ่งปี หรือหนึ่งปีในกี่ปีดีนะ ซึ่งการจัดสรรเวลาแบบนี้น่าจะเป็นการแบ่งเวลาที่ดีกว่าการก้มหน้าก้มตาทำงาน ด้วยความทรมานจนเบื่อการงานที่เคยรักแล้วรอไปหยุดยาวตอนแก่
นี่น่าจะเป็นวิธีที่ดีในการใช้สอยวันเวลาในชีวิตอันแสนสั้น
ชีวิตที่มีความสุขทั้งตอนหยุดพัก และตอนกลับมาทำงาน
นั่นมิใช่ชีวิตที่เราต้องการกันหรอกหรือ?
20-09-2012
เริ่มเทรด ช่วงหัวค่ำ ต่อ
เพียง 30 นาที จาก 37 เหรียญ เป็น 45 เหรียญ เวลาเป็นเงินเป็นทองจริงๆ แต่อย่าโลภ เตือนตัวเองเสมอ มั่นคง ในระบบ ตัวเอง ที่ได้ศึกษามาไว้ให้เหนียวแน่น
พอร์ต ที่ 4 ทุน 40 เหรียญ ได้กลับมาเรียบร้อยแล้ว
ที่สำคัญ ทฤษฏี ทบต้นจาก ไอสไตร์
มาลุยกันต่อ คืนนี้อีกยาวไกล แต่ขอ อาบน้ำ คุยกะลูกให้สบายใจก่องนะกั๊บเริ่มเทรด ช่วงยามดึกๆ ต่อ
จาก 45 เหรียญ ตอนนี้ทรงๆอยู่ มาสู้กันต่อครับ
19-09-2012
วันนี้เป็นวันที่ดีในการเทรด
คือ ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ดักจังหวะ เข้าซื้อ เข้าขาย คัตลอสได้ดี จากทุน 25 เหรียญ กลับมาเป็น 37 เหรียญ เวลา 2 ชม. 25/37 * 100 = 67 % เล่นสั้นไปหลายไม้ มันมันส์มาก แต่วันนี้ผมคิดว่ามันเป็นแค่การเริ่มต้น
อาจารย์ผม สอน และ บ่นให้ผมฟังเสมอว่า
"ทุกคนมีความตั้งใจ แต่ คง ทน ยาว นาน ไม่เท่ากัน"
อ. จักกฤษ จันทวรรณ ร.ร. วัฒนานคร จ.สระแก้วคืนนี้พอล่ะ ทำงานกะเช้าต่อ จดจำวันนี้ไว้ครับ สู้ต่อไป....นักเดินทาง
18-09-2012
เทรด ค่าเงินวันนี้
ช่วงเช้า ลงทุนพอร์ตที่ 4 วันที่ 01-09-2012 เงินลงทุน 40 เหรีบญ ช่วงกลางเดือนเหลือ 25 เหรียญ เมื่อวาน เล่นไปประมาณ 1 ชม. กราฟพอร์ต อยู่ในช่วง 21-29 เหรียญ สุดท้ายเหลือ 23 เหรียญ วันนี้ พอร์ตจะโตหรือว่าจะลด มาลุยกันต่อ
ประสบการณ์ที่ได้จากก่อนๆนี้ ตัดสินใจไม่เด็ดขาดและช้าไปในการขาย และซื้อเร็วไปไม่ดูอินดิเคเตอร์อื่นๆให้รอบคอบก่อน มีความคาดหวังมากเกินไป ทั้งที่รู้ๆในอินดิเคเตอร์มันบอกว่ามันถึงจุดแล้ว ที่ต้องขาย ทั้งนี้ สู้ต่อไป ประสบการณ์ ช่วยเราและสอนเราเสมอ...
ช่วงเย็น เหมือนเดิมครับพอร์ต ตอนนี้ 24 เหรียญ สวิงอยู่ในช่วง 21-29 เหรียญ ทั้งวันสิ่งที่ได้มา คือ อย่าใจร้อน รอบครอบ ทำตามระบบ มั่นคงในระบบ และเงือนไข
การเอาชนะใจตัวเอง มันทำได้ ยาก จริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
17-09-2012
หายไปนาน กลับบ้านแฟน + ไปหาลูก
การมีลูก ก็คือการลงทุนอย่างหนึ่ง เขาว่ากัน เราก็หวังว่าเมื่อแก่เฒ่ามาลูกจะกลับมาดูแลเรา ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้ เราต้องให้เขาก่อน ให้ในสิ่งที่ควรให้ ให้การศึกษา ให้ความรัก ให้ความรักความอบอุ่น ให้การอบรมสั่งสอน ให้ในทางที่ถูกมาก สอนเขา สอนให้เป็น ผมเป็นคุณพ่อมือใหม่ ผมพยายามปลูกฝังเค๊า ให้เค๊าโตมาเป็นคนมีคุณภาพ บางทีคนรอบข้างอาจจะไม่เข้าใจ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลูกเราได้เห็น ได้ทำ นั่นคือเขากำลังเรียนรู้และซึมซับและจะพัฒนาเป็นตัวของเค๊าเองในอนาคต
สิ่งที่เราทำได้ง่ายๆ ก็คือ ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี เหมือนคำกล่าวที่ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เมื่อลูกไม้หล่นมาแล้วเราต้องเอาไปบ่มไปเพาะให้เขาโตขึ้น นั่นก็คือเราต้องเป็นผู้ให้เค๊า เมื่อเค๊าได้รับสิ่งดีๆจากเราในอนาคตเขาโตมาเขาก็จะให้ผลที่ดีออกมาเช่นกัน ผมเชื่อว่าการปลูกฝัง และทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี และให้เขาซึมซับในสังคมที่ดี ชี้แนะเขาในสิ่งที่ไม่ดี ผมเชื่อว่าเราจะได้ ต้นพันธุ์ และผลที่ดี ในทุกรุ่น อิงคำกล่าว ยิ่งให้ยิ่งได้
วกมาเรื่องการเทรด
หลังจากที่ ลงพอร์ตที่4 40 กว่าเหรียญ เหลือ 25 เหรียญ 2 วันนี้วันหยุด เรามามันส์กันต่อ
10-09-2012
ดูข่าววันนี้ เรื่องทุจริตจำนำข้าว ได้ข้อคิดว่า คนโง่ย่อมตกเป็นเหยื่อของคนฉลาด คนฉลาดที่โกงคนจนย่อมถูกกรรมตามทัน เดี๋ยวนี้ชาวนาเค๊าพัฒนา อัดคลิปเสียงส่ง DSI แม่เจ้า ชาวนาไทยเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่ฉลาดเท่าคนโกง ว่าแต่รัฐบวยมีความคิดยังไงน๊าถึงรับจำนำข้าว หรือคิดจะปั่นราคาข้าว หุหุหุ
8-09-2012
ปวดตับ อัพเดตพอตที่ 4 มีเงิน 43 เหรียญ
เหลือ 25 เหรียญ เวลาทำงานยุ่งๆ ไม่กล้าเล่นล่ะออกไม่ทัน ไว้สู้ต่อในวันหยุด
7-09-2012
04.45 น.
การเทรดค่าเงินยังดำเนินต่อไป พอตที่ 4 เงินลงทุน 43 เหรียญ ตอนนี้เหลือ 25 เหรียญ สู้ต่อไป สิ่งที่เสียไปคือค่าเรียนและประสบการณ์
5-09-2012
ลิงค์ ที่ต้องศึกษา
http://2btrader.blogspot.com/http://2btrader.blogspot.com/
เขายังกล่าวอีกว่า "จริงๆ แล้วศักยภาพของมนุษย์นั้นมีไม่จำกัด เเละศิลปะของการเทรดก็จะเป็นตัวช่วยพัฒนาจิตวิญญาณ ความคิด เเละเป็นหนทางที่จะดึงศักยภาพภายในของเราออกมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะบทเรียนจากการเทรดจะสอนให้เราเรียนรู้ที่จะเอาชนะตนเอง ใครก็ตามในโลกนี้ที่สามารถชนะตนเองได้ ก็สามารถที่จะชนะในเรื่องอื่นๆได้ทุกอย่าง เเละทั้งหมดนี้ก็คือบทเรียนที่เราจะได้จากการเทรด"
โดย Effi Lang แนะนำว่าหนทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น คือเเผนการที่เป็นระบบ เราอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือเเม้เเต่เป็นเวลาหลายๆปี เเต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ให้เราเขียนเเผนการเทรด เเละจดบันทึกเป็นไดอารี่การเทรดทุกๆวัน เพราะมันเป็นหนทางที่เร็วที่สุด ที่เราจะเป็นเทรดเดอร์ที่เติบโตขึ้น
นอกจากนี้ Effi Lang ยังเขียนข้อความสำหรับผู้ที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในวงการเทรดเดอร์ ให้เป็นทั้งข้อเตือนใจและกำลังใจดีๆ ไว้ดังนี้
1.เราอาจจะต้องเสียเงิน
2.เราอาจจะต้องร้องไห้ในบางครั้ง
3.เราอาจจะรู้สึกถึงจุดวิกฤตที่สุดในชีวิต
4. ผู้คนรอบข้างอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับการเทรด
5. ความกดดัน เป็นสิ่งที่ต้องเจอเเน่นอน
6. บางครั้งเรารู้สึกอยากจะยอมเเพ้
7. อาจจะมีหลายครั้งที่เราอยากจะยอมเเพ้
8. เเละก็อีกหลายๆ ครั้ง
9. เเต่เราจะไม่มีวันยอมเเพ้ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เเละเหตุผลที่เราจะต้องสู้ต่อ
10.เราจะมีทั้งวันเทรดที่ดี
11.เราจะมีวันที่เทรดที่ไม่ดี
12.เมื่อเราสามารถเทรดจนกำไรเป็น 2 เท่าของรายจ่าย >>> เป็นสัดส่วนขั้นต่ำที่ดี เราไม่ควรจะจ่ายมากกว่า 50% ของเงินที่เทรดได้ ในกรณีที่รายได้เรามาจากการเทรดเป็นหลัก
13.เราจะทดลองหลายๆ ระบบเทรด
14.เราจะพยายามจะพัฒนาหาผลลัพธ์
15.เราจะพยายามทดสอบเป็น 100 indicators เพื่อว่าจะได้ผลการเทรดที่ดีขึ้น
16. เรื่องของการบันทึกการเทรดเป็นเรื่องสำคัญมากๆ มันคล้ายๆกับว่าเวลาที่เเม่ของเราบอกให้เรานอน- ถ้าเราทำตามเราก็จะมีสุขภาพที่ดี-เเต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราก็จะมีสุขภาพที่ไม่ดี
17. อย่าโลภ
18. เทรดที่ Pips (หน่วยของ Forex) อย่าเทรดที่ตัวเงิน
19. ได้ 10 Pips ต่อวันถือว่าดี
20. ได้ 20 Pips ต่อวันถือว่ายอดเยี่ยม
21. ได้ 30 Pips ต่อวันถือว่า วิเศษมากๆ
22. เราต้องยอมรับ ขาดทุน - กำไร 50% 50% ให้ได้
23. มีความสุขกับชีวิต ออกกำลังกายบ้าง กิน นอนอย่างปกติ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดี เรายิ่งมีการเทรดที่ดีขึ้น
24. ทำตัวเป็นมืออาชีพ มีการพักเบรกบ้าง ให้เรามองการเทรดว่าเป็นธุรกิจหนึ่งของเราโดยที่เราเป็นทั้งพนักงาน เเละก็ลูกจ้าง
25. อย่าถอนเงินทั้งหมดจากบัญชีการเทรดของเรา ให้เราพยายามทบต้นขึ้นไป
26. ความอดทนเเละความเข้าใจคือหัวใจ ซึ่งมันเเตกต่างระหว่างการเทรดที่เราขาดทุน เเละการเทรดที่กำไร
27.เราต้องพยายามเรียนรู้ คนโง่มักจะเสียเงิน ในขณะเดียวกันคนฉลาดมักจะเป็นผู้ได้เงินในสนามการเทรด
28. เราต้องเตือนตัวเอง เเละรู้ตัวเสมอ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
29. เวลาที่เราเทรดพลาด ให้ถามตัวเองว่าทำไม พยายามที่จะเรียนรู้เข้าใจจากการขาดทุนที่เกิดขึ้น
30. อย่าพยายามที่จะเทรดตามข่าว
31. ให้หยุดชั่วคราว ถ้ามีบางอย่างที่เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วย Technical Analysis
32. ให้เรามี internet สำรองไว้ด้วย
33. อย่าเทรดเวลาที่เราเหนื่อย ดื่มมา ง่วง หรือว่าตอนที่อารมณ์ไม่ปกติ
http://www.youtube.com/watch?v=GjeTr5ixspI
http://www.youtube.com/watch?v=O7-LdyxkYqI
http://www.youtube.com/watch?v=Iiqr6a2WvOQ&feature=relmfu
http://www.youtube.com/watch?v=xFSshjQ58VI
http://www.youtube.com/watch?v=D5hbZNFGzzc
http://www.youtube.com/watch?v=pO8tqd280Nk
http://www.youtube.com/watch?v=LdI4RGvtNks&feature=relmfu
0.0
1. EMA หรือพวก Trend ควรใช้เล่นตามเทรน
2. Stochastic หรือพวก Osillators ควรใช้เล่นตอน Side way เท่านั้น เน้นที่
Time fram 5 minไม่เหมาะใช้เล่นตาม เทรน
ค่าที่เซตคือ 0, 10, 25, 50, 75, 90, 100
ที่ค่า 25-75 คือ โซนตามเทรน ลงก็ยังลง ขึ้นก็ยังขึ้น
ที่ค่า 10-25 , 75-90 คือ โซนกลับตัว
ที่ค่า 0-10 90-100 คือ Super โซนซื้อหรือขายมากเกินไปเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
จะมีการเกิดขึ้นอีก และจะจบในโซนกลับตัว แม่นใน Time fram 1H ในเวลาอื่น
ก็พอใช้ได้
3.ข่าว ควรวิเคราะห์ ในข่าวถัดไปด้วย และข่าวจะไม่ตรงเสมอไป แต่ภาพรวมแนวโน้ม
ใหญ่ส่วนมากจะเป็นตามข่าว
http://2btrader.blogspot.com/http://2btrader.blogspot.com/
เขายังกล่าวอีกว่า "จริงๆ แล้วศักยภาพของมนุษย์นั้นมีไม่จำกัด เเละศิลปะของการเทรดก็จะเป็นตัวช่วยพัฒนาจิตวิญญาณ ความคิด เเละเป็นหนทางที่จะดึงศักยภาพภายในของเราออกมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะบทเรียนจากการเทรดจะสอนให้เราเรียนรู้ที่จะเอาชนะตนเอง ใครก็ตามในโลกนี้ที่สามารถชนะตนเองได้ ก็สามารถที่จะชนะในเรื่องอื่นๆได้ทุกอย่าง เเละทั้งหมดนี้ก็คือบทเรียนที่เราจะได้จากการเทรด"
โดย Effi Lang แนะนำว่าหนทางที่เร็วที่สุดที่จะทำให้เทรดเดอร์มือใหม่ประสบความสำเร็จในการเทรดนั้น คือเเผนการที่เป็นระบบ เราอาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาเป็นเดือน เป็นปี หรือเเม้เเต่เป็นเวลาหลายๆปี เเต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ให้เราเขียนเเผนการเทรด เเละจดบันทึกเป็นไดอารี่การเทรดทุกๆวัน เพราะมันเป็นหนทางที่เร็วที่สุด ที่เราจะเป็นเทรดเดอร์ที่เติบโตขึ้น
นอกจากนี้ Effi Lang ยังเขียนข้อความสำหรับผู้ที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในวงการเทรดเดอร์ ให้เป็นทั้งข้อเตือนใจและกำลังใจดีๆ ไว้ดังนี้
1.เราอาจจะต้องเสียเงิน
2.เราอาจจะต้องร้องไห้ในบางครั้ง
3.เราอาจจะรู้สึกถึงจุดวิกฤตที่สุดในชีวิต
4. ผู้คนรอบข้างอาจจะทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับการเทรด
5. ความกดดัน เป็นสิ่งที่ต้องเจอเเน่นอน
6. บางครั้งเรารู้สึกอยากจะยอมเเพ้
7. อาจจะมีหลายครั้งที่เราอยากจะยอมเเพ้
8. เเละก็อีกหลายๆ ครั้ง
9. เเต่เราจะไม่มีวันยอมเเพ้ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เเละเหตุผลที่เราจะต้องสู้ต่อ
10.เราจะมีทั้งวันเทรดที่ดี
11.เราจะมีวันที่เทรดที่ไม่ดี
12.เมื่อเราสามารถเทรดจนกำไรเป็น 2 เท่าของรายจ่าย >>> เป็นสัดส่วนขั้นต่ำที่ดี เราไม่ควรจะจ่ายมากกว่า 50% ของเงินที่เทรดได้ ในกรณีที่รายได้เรามาจากการเทรดเป็นหลัก
13.เราจะทดลองหลายๆ ระบบเทรด
14.เราจะพยายามจะพัฒนาหาผลลัพธ์
15.เราจะพยายามทดสอบเป็น 100 indicators เพื่อว่าจะได้ผลการเทรดที่ดีขึ้น
16. เรื่องของการบันทึกการเทรดเป็นเรื่องสำคัญมากๆ มันคล้ายๆกับว่าเวลาที่เเม่ของเราบอกให้เรานอน- ถ้าเราทำตามเราก็จะมีสุขภาพที่ดี-เเต่ถ้าเราไม่ทำตาม เราก็จะมีสุขภาพที่ไม่ดี
17. อย่าโลภ
18. เทรดที่ Pips (หน่วยของ Forex) อย่าเทรดที่ตัวเงิน
19. ได้ 10 Pips ต่อวันถือว่าดี
20. ได้ 20 Pips ต่อวันถือว่ายอดเยี่ยม
21. ได้ 30 Pips ต่อวันถือว่า วิเศษมากๆ
22. เราต้องยอมรับ ขาดทุน - กำไร 50% 50% ให้ได้
23. มีความสุขกับชีวิต ออกกำลังกายบ้าง กิน นอนอย่างปกติ ยิ่งเรามีสุขภาพที่ดี เรายิ่งมีการเทรดที่ดีขึ้น
24. ทำตัวเป็นมืออาชีพ มีการพักเบรกบ้าง ให้เรามองการเทรดว่าเป็นธุรกิจหนึ่งของเราโดยที่เราเป็นทั้งพนักงาน เเละก็ลูกจ้าง
25. อย่าถอนเงินทั้งหมดจากบัญชีการเทรดของเรา ให้เราพยายามทบต้นขึ้นไป
26. ความอดทนเเละความเข้าใจคือหัวใจ ซึ่งมันเเตกต่างระหว่างการเทรดที่เราขาดทุน เเละการเทรดที่กำไร
27.เราต้องพยายามเรียนรู้ คนโง่มักจะเสียเงิน ในขณะเดียวกันคนฉลาดมักจะเป็นผู้ได้เงินในสนามการเทรด
28. เราต้องเตือนตัวเอง เเละรู้ตัวเสมอ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่
29. เวลาที่เราเทรดพลาด ให้ถามตัวเองว่าทำไม พยายามที่จะเรียนรู้เข้าใจจากการขาดทุนที่เกิดขึ้น
30. อย่าพยายามที่จะเทรดตามข่าว
31. ให้หยุดชั่วคราว ถ้ามีบางอย่างที่เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วย Technical Analysis
32. ให้เรามี internet สำรองไว้ด้วย
33. อย่าเทรดเวลาที่เราเหนื่อย ดื่มมา ง่วง หรือว่าตอนที่อารมณ์ไม่ปกติ
http://www.youtube.com/watch?v=GjeTr5ixspI
http://www.youtube.com/watch?v=O7-LdyxkYqI
http://www.youtube.com/watch?v=Iiqr6a2WvOQ&feature=relmfu
http://www.youtube.com/watch?v=xFSshjQ58VI
http://www.youtube.com/watch?v=D5hbZNFGzzc
http://www.youtube.com/watch?v=pO8tqd280Nk
http://www.youtube.com/watch?v=LdI4RGvtNks&feature=relmfu
0.0
มีของรวบรวมมาฝาก เป็นลิงค์สำหรับศึกษาในนั้นจะมีทริปเล็กน้อยๆแต่ยิ่งใหญ่อยู่ด้วยดูหลายๆรอบนะครับทุกท่าน
ลิงค์ อินเตอร์
http://www.learntotradethemarket.com/forex-trading-strategies/forex-trend-trading-guide
เทคนิคเข้าออกจากต่างประเทศอภินันทนาการจาก อาจารย์ Rojer FX
http://www.yourtradingcoach.com/
รวมลิงค์สำหรับศึกษา Cost ของ อาจารย์ Rojer FX
http://www.youtube.com/watch?v=7FtAarvjwnQ&feature=youtu.be
Introduction to Forex (แนะนำ ฟอเร๊กซ์)
http://www.youtube.com/watch?v=du2R0huR7G0&feature=relmfu
วิธีการใช้ โปรแกรม Meta Trader 4 สำหรับ Forex (1/2)
วิธีการใช้ โปรแกรม Meta Trader 4 สำหรับ Forex (2/2)
การใช้ Stochastic ทำกำไรในตลาด Forex
เทคนิคคอล
เป็นทริป จาก อ. Rojer FX นะครับ ผมสรุปตามที่ผมเข้าใจ สงสัยกลับไปดูคลิปอาจารย์นะครับ1. EMA หรือพวก Trend ควรใช้เล่นตามเทรน
2. Stochastic หรือพวก Osillators ควรใช้เล่นตอน Side way เท่านั้น เน้นที่
Time fram 5 minไม่เหมาะใช้เล่นตาม เทรน
ค่าที่เซตคือ 0, 10, 25, 50, 75, 90, 100
ที่ค่า 25-75 คือ โซนตามเทรน ลงก็ยังลง ขึ้นก็ยังขึ้น
ที่ค่า 10-25 , 75-90 คือ โซนกลับตัว
ที่ค่า 0-10 90-100 คือ Super โซนซื้อหรือขายมากเกินไปเมื่อเกิดขึ้นแล้ว
จะมีการเกิดขึ้นอีก และจะจบในโซนกลับตัว แม่นใน Time fram 1H ในเวลาอื่น
ก็พอใช้ได้
3.ข่าว ควรวิเคราะห์ ในข่าวถัดไปด้วย และข่าวจะไม่ตรงเสมอไป แต่ภาพรวมแนวโน้ม
ใหญ่ส่วนมากจะเป็นตามข่าว
การใช้ MACD ทำกำไรในตลาด Forex
http://www.youtube.com/watch?v=zcZ7fh-Jrms&feature=related
วันนี้ผมในฐานะ "ราชาโปรเจคใหม่" แห่งวงการเทรดของไทย (ตั้งตำแหน่งให้ตัวเอง น่าเกลียดมากกกกกก)
ขอนำเสนอ โปรเจคใหม่ให้แก่ท่าน
นั่นคือ โปรเจค งานแปล "จิตวิทยาการลงทุนนนนนนน" (ลากเสียง Echo ยาวๆ เพื่อให้รู้สึกตื่นเต้น)
วันนี้ พอดีว่าไปเจอ ชุดบท
http://www.learntotradethemarket.com/forex-currency-trading-blog/why-college-dropouts-succeed-at-trading
[sec2, 31-May] สรุปความรู้ ที่สอนใน Class Forex by Rojer
http://www.youtube.com/watch?v=mDcW68g0x1E&feature=relmfuวิธีพัฒนาการเทรด และ แนะนำคอร์สสอน
น่าจะเป็น BLOGGER ของ อาจารย์
http://cmforex.blogspot.com/2012/09/4-other-reversal-signal-bar.htmlวันนี้ผมในฐานะ "ราชาโปรเจคใหม่" แห่งวงการเทรดของไทย (ตั้งตำแหน่งให้ตัวเอง น่าเกลียดมากกกกกก)
ขอนำเสนอ โปรเจคใหม่ให้แก่ท่าน
นั่นคือ โปรเจค งานแปล "จิตวิทยาการลงทุนนนนนนน" (ลากเสียง Echo ยาวๆ เพื่อให้รู้สึกตื่นเต้น)
วันนี้ พอดีว่าไปเจอ ชุดบท
ความ เรื่อง Trading Psychology ที่ผมชอบและรู้สึกว่าเป็นประโยชน์ จึงออกอาการคันมือ อยากแปลให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกแล้ว (ทำยังกับว่าตัวเองว่างจัด ไม่นับงานสอนเทรด, งานตอบคำถามนักเรียนตัวเอง, งานดูแล website ตัวเอง, งานเผยแพร่ Forex, งานตอบคำถามบุคคลทั่วไป และ งานโปรเจคแปลหนังสือเทรดที่ค้างอยู่)
ที่จริง “จิตวิทยาการลงทุน” เป็นสิ่งที่ผมหาอ่านมาตลอด, หนังสือภาษาไทยหาอ่านได้น้อยมาก ผมหาซื้อมาหลายปี ก็ยังไม่เจอเล่มไหนที่ตอบโจทย์ที่ผมต้องการ ผมจึงคิดว่าคงต้องหันไปดูภาษาอังกฤษ และแล้ววันนี้ ผมก็เจอสิ่งที่ถูกใจผม อ่านตอนแรกแล้วรู้สึกว่าชอบเลย(Love at first sight) เพราะผู้แต่งเขียนแบบ รูปธรรม เห็นภาพชัด ได้ประโยชน์มาก (ตัวผมเองชอบแนวนี้ ที่เห็นชัดๆ สอนได้ เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง ซึ่งเป็นจุดเด่นในการสอนเทรดของผม) และแต่ละตอนไม่ยาวนัก คิดว่าน่าจะแปลเบาๆ สลับกับ ตำรา Price Action หนักๆที่ผมกลังแปลอยู่ได้พอดี, ผมเลยเริ่มปฏิบัติการแปลให้ทุกคนได้อ่านกันซะเลย
ต้นฉบับเป็นของ Credit : Dr.Brett N. Steenbarger, Ph.D. / www.brettsteenbarger.com
[Psycho] Part 1 : A Lesson in Trading Psychology
(เริ่มต้นการแปล จากตรงนี้เป็นต้นไป)
ย้อนกลับไปในปี 2004, ตอนผมเพิ่มเข้าบริษัทเทรดใหม่ๆใน Chicago (Kingstree Trading, LLC, a proprietary trading firm) ผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้เรียนรู้ และ “สังเกต” วิธีทำงานของ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน
มีอยู่บทเรียนหนึ่งที่โดดเด่นมากในใจผม, เหตุการณ์คือ นักเทรดท่านหนึ่งเห็นแรงซื้อเข้ามาในตลาด(Note ผู้แปล : คิดว่าผู้แต่งคงตั้งใจไม่พูดถึงว่า Identity ของเทรดเดอร์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ), เขาโดดขึ้นเข้าออเดอร์ซื้อทันที ผมสังเกตจากปริมาณที่เขาซื้อก็พอบอกได้ว่า เขาเข้าซื้อเพราะเขาเห็นโอกาสที่จะ Break High สูง, แต่หลังจากเข้าซื้อแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นไปดังที่คาดคิดไว้, ราคากลับย่ำอยู่กับที่ ไปไม่ถึงเป้าหมาย แล้วก็หักหัวลง, เทรดเดอร์ท่านนั้น โดดออกจากออเดอร์ทันทีโดยเสียไป 1 ช่องราคา
เขาหันมาบอกผมว่า “ฉันเพิ่งจ่ายค่าซื้อข้อมูลไป”
จากนั้นอีกหลายนาทีต่อมา ราคาเด้งขึ้นอีกครั้ง สูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ Volume นั้นน้อย ไม่มีผุ้เล่นรายใหญ่อยู่ฝั่ง Long, เทรดเดอร์ท่านนั้นก็ Sell อย่างหนัก และ ได้กำไรมาหลายจุด อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้สอนไว้ว่า, ครั้งแรก เขาได้เข้าเทรด (ซึ่งเป็นการเข้าที่ดี) แต่ปรากฏว่าไม่ได้ดีอย่างที่คาดไว้ เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นความเสียหาย ความล้มเหลว หรือ ภัยคุกคาม, เขามองว่าเป็นแค่การซื้อข้อมูล, ตลาดกำลังบอกเขาว่า ราคาคงไม่สามารถเอาชนะ High เดิมได้จริงๆ
เขาเข้าออเดอร์แรก และ ออกจากออเดอร์ แล้วใช้ออเดอร์ที่แพ้เล็กๆนั้น ในการเตรียมตัว เพื่อให้ได้มาซึ่ง ออเดอร์อันต่อมาซึ่งชนะ, นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากเรื่อง “จิตวิทยาการเทรด”
ถ้าการอ่าน “สัญญาณล่วงหน้า” (Set up) ของคุณนั้นถูกต้อง, ผลลัพธ์มันจะมีแค่ 2 ชนิด, 1.ออเดอร์ที่ทำกำไรให้คุณ และ 2.ออเดอร์ที่ให้ข้อมูลกับคุณ (Note ผู้แปล : ผู้แต่งตั้งใจจะสื่อชัดๆว่า แม้ออเดอร์นั้นโดน Stop Loss ก็อย่าคิดว่าเป็นความพ่ายแพ้ เพราะเมื่อเราเข้าตามระบบแล้วยังโดน Stop Loss, ถือว่าเป็นการแพ้ในระบบ ซึ่งจะเป็นการให้ข้อมุลที่เป็นประโยชน์แก่เราในภายภาคหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประเมินตลาดอย่างที่เห็นในบทความนี้ หรือ การจะเอาข้อมูลนั้นมาปรับปรุงระบบต่อไป)
ลิงค์ศึกษาต่างประเทศ price actionที่จริง “จิตวิทยาการลงทุน” เป็นสิ่งที่ผมหาอ่านมาตลอด, หนังสือภาษาไทยหาอ่านได้น้อยมาก ผมหาซื้อมาหลายปี ก็ยังไม่เจอเล่มไหนที่ตอบโจทย์ที่ผมต้องการ ผมจึงคิดว่าคงต้องหันไปดูภาษาอังกฤษ และแล้ววันนี้ ผมก็เจอสิ่งที่ถูกใจผม อ่านตอนแรกแล้วรู้สึกว่าชอบเลย(Love at first sight) เพราะผู้แต่งเขียนแบบ รูปธรรม เห็นภาพชัด ได้ประโยชน์มาก (ตัวผมเองชอบแนวนี้ ที่เห็นชัดๆ สอนได้ เข้าใจง่าย ทำตามได้จริง ซึ่งเป็นจุดเด่นในการสอนเทรดของผม) และแต่ละตอนไม่ยาวนัก คิดว่าน่าจะแปลเบาๆ สลับกับ ตำรา Price Action หนักๆที่ผมกลังแปลอยู่ได้พอดี, ผมเลยเริ่มปฏิบัติการแปลให้ทุกคนได้อ่านกันซะเลย
ต้นฉบับเป็นของ Credit : Dr.Brett N. Steenbarger, Ph.D. / www.brettsteenbarger.com
[Psycho] Part 1 : A Lesson in Trading Psychology
(เริ่มต้นการแปล จากตรงนี้เป็นต้นไป)
ย้อนกลับไปในปี 2004, ตอนผมเพิ่มเข้าบริษัทเทรดใหม่ๆใน Chicago (Kingstree Trading, LLC, a proprietary trading firm) ผมโชคดีมากที่มีโอกาสได้เรียนรู้ และ “สังเกต” วิธีทำงานของ เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จหลายๆท่าน
มีอยู่บทเรียนหนึ่งที่โดดเด่นมากในใจผม, เหตุการณ์คือ นักเทรดท่านหนึ่งเห็นแรงซื้อเข้ามาในตลาด(Note ผู้แปล : คิดว่าผู้แต่งคงตั้งใจไม่พูดถึงว่า Identity ของเทรดเดอร์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ), เขาโดดขึ้นเข้าออเดอร์ซื้อทันที ผมสังเกตจากปริมาณที่เขาซื้อก็พอบอกได้ว่า เขาเข้าซื้อเพราะเขาเห็นโอกาสที่จะ Break High สูง, แต่หลังจากเข้าซื้อแล้ว ปรากฏว่าไม่เป็นไปดังที่คาดคิดไว้, ราคากลับย่ำอยู่กับที่ ไปไม่ถึงเป้าหมาย แล้วก็หักหัวลง, เทรดเดอร์ท่านนั้น โดดออกจากออเดอร์ทันทีโดยเสียไป 1 ช่องราคา
เขาหันมาบอกผมว่า “ฉันเพิ่งจ่ายค่าซื้อข้อมูลไป”
จากนั้นอีกหลายนาทีต่อมา ราคาเด้งขึ้นอีกครั้ง สูงกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ Volume นั้นน้อย ไม่มีผุ้เล่นรายใหญ่อยู่ฝั่ง Long, เทรดเดอร์ท่านนั้นก็ Sell อย่างหนัก และ ได้กำไรมาหลายจุด อย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้สอนไว้ว่า, ครั้งแรก เขาได้เข้าเทรด (ซึ่งเป็นการเข้าที่ดี) แต่ปรากฏว่าไม่ได้ดีอย่างที่คาดไว้ เขาไม่ได้มองว่ามันเป็นความเสียหาย ความล้มเหลว หรือ ภัยคุกคาม, เขามองว่าเป็นแค่การซื้อข้อมูล, ตลาดกำลังบอกเขาว่า ราคาคงไม่สามารถเอาชนะ High เดิมได้จริงๆ
เขาเข้าออเดอร์แรก และ ออกจากออเดอร์ แล้วใช้ออเดอร์ที่แพ้เล็กๆนั้น ในการเตรียมตัว เพื่อให้ได้มาซึ่ง ออเดอร์อันต่อมาซึ่งชนะ, นี่เป็นตัวอย่างที่ดีมากเรื่อง “จิตวิทยาการเทรด”
ถ้าการอ่าน “สัญญาณล่วงหน้า” (Set up) ของคุณนั้นถูกต้อง, ผลลัพธ์มันจะมีแค่ 2 ชนิด, 1.ออเดอร์ที่ทำกำไรให้คุณ และ 2.ออเดอร์ที่ให้ข้อมูลกับคุณ (Note ผู้แปล : ผู้แต่งตั้งใจจะสื่อชัดๆว่า แม้ออเดอร์นั้นโดน Stop Loss ก็อย่าคิดว่าเป็นความพ่ายแพ้ เพราะเมื่อเราเข้าตามระบบแล้วยังโดน Stop Loss, ถือว่าเป็นการแพ้ในระบบ ซึ่งจะเป็นการให้ข้อมุลที่เป็นประโยชน์แก่เราในภายภาคหน้าต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประเมินตลาดอย่างที่เห็นในบทความนี้ หรือ การจะเอาข้อมูลนั้นมาปรับปรุงระบบต่อไป)
(ตอนที่ 6) ของการแปลตำรา Price Action (วิธีเทรดที่ให้กำไรดีมาก แต่ยากจึงไม่ค่อยมีคนแปลไทย)
[Price Action] Part 6 : ตัวอย่างการกลับตัวต่างๆจากกราฟจริง
ได้ยกตัวอย่างการดุว่ากลับตัวจริงไหม ในสถานการณ์จริง จากกราฟจริง หลายๆกราฟ
Price Action เป
[Price Action] Part 6 : ตัวอย่างการกลับตัวต่างๆจากกราฟจริง
ได้ยกตัวอย่างการดุว่ากลับตัวจริงไหม ในสถานการณ์จริง จากกราฟจริง หลายๆกราฟ
Price Action เป
็นวิธี เทรดที่ให้กำไรดีมาก แต่เป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างยาก จึงยังไม่ค่อยมีหนังสือภาษาไทยเกี่ยวกับ Price Action ให้เราได้ศึกษากัน, ผมจึงแปลหนังสือตำรา PA เล่มนี้ให้พวกเราได้อ่านกันนะครับ “Reading PRICE CHART ... for Serious Trader” จากนี้ผมขอเรียกสั้นๆว่าหนังสือ Price Action นะครับ
วางไว้ที่เดิมคือ ChiangMai Forex นะครับ
http://cmforex.blogspot.com/2012/09/price-action-part-6.html
ส่วนใครยังไม่ได้เป็นเพื่อนกันกับผม ก็มาเป็นเพื่อนกันนะครับ ผมชื่อ Rojer FX
http://www.facebook.com/rojer.fx.3
วางไว้ที่เดิมคือ ChiangMai Forex นะครับ
http://cmforex.blogspot.com/2012/09/price-action-part-6.html
ส่วนใครยังไม่ได้เป็นเพื่อนกันกับผม ก็มาเป็นเพื่อนกันนะครับ ผมชื่อ Rojer FX
http://www.facebook.com/rojer.fx.3
http://www.learntotradethemarket.com/forex-currency-trading-blog/why-college-dropouts-succeed-at-trading
โดย 9professionaltrader
วีดีโอสอนเทรด นักเรียนรุ่นที่ 12 Part 4 การใช้ RSI , การดู Overbought และ Oversold
วีดีโอสอนเทรด นักเรียนรุ่นที่ 12 Part 10 Price action
วีดีโอสอนเทรด นักเรียนรุ่นที่ 12 Part 7 ทฤษฎี Elliott Wave
4-09-2012
- ธนาคารต้นไม้ Asset ที่น่าลงทุนอย่างหนึ่งในความคิดผม แต่ช้าแต่ ต้องไปคิดดูถึงจุดคุ้มทุนในอนาคตก่อน
- อัพเดตเทรดค่าเงิน ทั้งคืนค่าเงินที่เล่นยังเป็นไซด์เวย์อยู่ แนวโน้มใหญ่เป็นขาขึ้นลุ้นต่อไป ว่าจะพีคกระฉูดตามที่คาดการไว้หรือไม่ จุดต๊อบลอสยังวางไว้เท่าเดิม
- เจอปัญหา คนขี้ใจน้อย และน้อยใจ อีกคนก็คิดมากคิดแต่แง่ลบแล้วก็น้อยใจดื้อด้อยไม่รู้จักโต
Weekly Revision คือ หนึ่งเครื่องมือที่ให้ภาพรวมๆ ของพื้นฐาน และ ราคาหุ้น ...โดย นักแกะรอยหยัก
โดย Bualuang Securities เมื่อ 4 กันยายน 2012 เวลา 8:27 น. ·
รายงานนี้ "บัวหลวง" จัดให้เรื่อยๆ น่ะ ...ส่งตรงถึง email
สิ่งที่ รายงานนี้ ช่วยเราได้คือ "เขาให้ Target Price แบบกว้างๆ ของหุ้นทุกตัวที่บัวหลวงมีบทวิจัย Cover" ..ลองดู

อัน แรก แนะนำ "ซื้อ หรือ ขาย" อันนี้อย่างที่บอก ไม่สำคัญ เพราะ คุณมอง Time-Frame ต่างกัน ดังนั้น คุณอาศัย Technical มาช่วยจะดีกว่า
ตัว ต่อไป Target Price คือ "เป้าหมายราคาแรก ที่นักวิเคราะห์บัวหลวงมองว่าจะไปถึง...ส่วนถัดมาคือ SAA Consensus ก็คือ เป้าหมายที่นักวิเคราะห์จากที่อื่นๆ มองรวมๆ ว่าเป้าหมายราคาจะเป็นเท่าไหร่ (ให้เทียบกัน)" -- แต่ก็อย่างที่บอกว่า ราคาหุ้นมันไม่ได้ ขึ้น-ลง ตามพื้นฐาน แต่มันขึ้นลงตาม Demand & Supply ของนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขาย ดังนั้น ราคามันเป็นเพียง Guldeline ของราคา ที่โดยมาก "ราคาเป้าหมาย" มักจะเป็นราคาที่ไปไม่ถึง หรือ ถ้าไปถึงก็จะเลยไปเลย ..."เพราะอะไร" -- ก็อย่างที่บอกครับ มนุษย์มีความโลภความกลัว ดังนั้น ราคาจะไม่ เคยหยุดอยู่ที่พื้นฐาน ...ในขาขึ้น นักลงทุนมักโลภ ก็แห่กันซื้อจนราคาเลยพื้นฐาน ...ส่วนขาลง นักลงทุนมักแห่ขายด้วยความกลัวจนราคาลงต่ำกว่าพื้นฐาน
ที่พูด มาเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ที่นักวิเคราะห์ ก็อาจลดเป้าหมาย หรือ เพิ่มเป้าหมายได้ -- ดังนั้น "เป้าหมายของราคา (Target Price) มันไม่ใช่อะไรที่จะต้องตายตัว ..มันเป็นมุมมอง ที่ช่วยให้เราทราบคร่าวๆ เท่านั้น ว่า จากพื้นฐานธุรกิจ ยอดขาย กำไร รวมกันแล้ว หุ้นนั้นๆ ควรมีราคาเท่าไหร่แค่นั้นเอง" -- ส่วนการขึ้นลง ก็ไม่ใช่พื้นฐานกำหนด ..นักลงทุนต่างหากที่เอา "ความโลภ ความกลัวกำหนด" โดยมีพื้นฐานเป็น Guldeline บ้าง ก็เท่านั้นเอง
ต่อมา Beta คือ ความผันผวน ...ตัวไหน Beta มาก ก็มี Trade มัน ได้เสียเยอะ เพราะว่า "ผันผวน ก็แปลว่า มันแกว่งมากกว่าตลาด" (ถ้า Beta เท่ากับ1 ก็แปลว่า มันแกว่งตาม SET ...แต่ถ้าน้อยกว่า 1 ก็คือ แกว่งน้อยกว่าตลาด ..ถ้ามากกว่า 1 ก็แปลว่า แกว่งมากกว่าตลาด)
(12) PER กับ (12) EV/EBITDA .. ก็คือ การคำนวณค่า PE ในกรอบ 12 เดือน ..ส่วน EV/EBITDA ก็เป็นการหาค่า ความถูกแพงอีกวิธีนึง ...ก็ลองเทียบกันดู ...ว่าตัวไหน ที่เราชอบมากกว่า (เบื้องต้น PER (P/E) เป็นการ หาจำนวนปีที่คืนทุน ..เช่น PER = 10 เท่า ก็แปลง่ายๆ ว่า ถ้าซื้อหุ้นนี้ ที่ราคานี้ แล้วหุ้นมีกำไรต่อหุ้นเท่านี้ -- เขาก็บอกว่า ถ้าแบบนี้ คุณในฐานะเจ้าของ จะได้เงินลงทุนคืนในกี่ปี) -- พวกนี้ก็เป็นภาพ ที่เขามาประกอบอีกนั่นแหละครับ เพื่อเทียบว่า "ราคาหุ้น เมื่อเทียบกับ รายได้ของบริษัท ..มีความถูกหรือแพงอย่างไร" ....ก็นึกง่าย P/E 100 เท่า อย่าง Facebook ก็ 100 ปี คืนทุนน่ะ ...ราคาถึง มันส์กระจาย อย่างที่เขาหนีตายกัน...555
(12) P/BV ก็เป็นการหาความถูกแพง โดยใช้ "ราคาหุ้น เทียบกับ Book Value" ก็เทียบกับ Asset หักหนี้ออกไป ...ซึ่งค่านี้ ถ้าเท่ากับ 1 ก็เท่ากับว่าเรา กับ เจ้าของลงทุนเท่ากัน ...โดย มากถ้าไม่มีวิกฤต P/BV ควรมากกว่า 1 อยู่แล้ว เพราะ เจ้าของบริษัท เขาย่อมต้องลงทุนเพื่อให้ได้กำไรมากกว่า นักลงทุน (แนวคิดที่ว่า ก็คือ เขามองว่า นักลงทุน ไม่ใช่เจ้าของ ไม่ได้ลำบากมากับธุรกิจ การจะซื้อหุ้น ก็ควรจ่าย Premium นั่นเอง ดังนั้น โดยภาวะปกติ P/BV มันน่าจะมากกว่า 1) ...ค่านี้ ใช้ได้ดีในเวลา วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะหุ้นทุกตัวจะลงมาต่ำ ...ตรงนี้จะทำให้เราเทียบหามูลค่า Asset จริงๆ ของกิจการ ...ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งถูก!!
Dividend Yield ก็ คำนวณปันผล เทียบราคาหุ้น ... "ตรงนี้ เขาจะโชว์ให้ดูว่า ในเรื่องของปันผล(อย่างเดียว) ถ้าซื้อแล้วถือ มันเทียบกับ ดอกเบี้ยใน Asset ที่คุณถือที่อื่นๆ อย่างไร"
ครับ ก็ประมาณนี้ ..."นี่ก็เป็นอีก รายงานที่ Provide ภาพพื้นฐาน ของหุ้น ในแบบคร่าวๆ ช่วยในการตัดสินใจของเราได้" ...แต่ในส่วนจังหวะ ก็อย่างที่บอก ว่าคุณควรศึกษา Technical แล้ว อาศัย Technical ในการหาจังหวะ การซื้อขายต่อไป นั่นเอง!!



สิ่งที่ รายงานนี้ ช่วยเราได้คือ "เขาให้ Target Price แบบกว้างๆ ของหุ้นทุกตัวที่บัวหลวงมีบทวิจัย Cover" ..ลองดู

อัน แรก แนะนำ "ซื้อ หรือ ขาย" อันนี้อย่างที่บอก ไม่สำคัญ เพราะ คุณมอง Time-Frame ต่างกัน ดังนั้น คุณอาศัย Technical มาช่วยจะดีกว่า
ตัว ต่อไป Target Price คือ "เป้าหมายราคาแรก ที่นักวิเคราะห์บัวหลวงมองว่าจะไปถึง...ส่วนถัดมาคือ SAA Consensus ก็คือ เป้าหมายที่นักวิเคราะห์จากที่อื่นๆ มองรวมๆ ว่าเป้าหมายราคาจะเป็นเท่าไหร่ (ให้เทียบกัน)" -- แต่ก็อย่างที่บอกว่า ราคาหุ้นมันไม่ได้ ขึ้น-ลง ตามพื้นฐาน แต่มันขึ้นลงตาม Demand & Supply ของนักลงทุนที่ต้องการซื้อและขาย ดังนั้น ราคามันเป็นเพียง Guldeline ของราคา ที่โดยมาก "ราคาเป้าหมาย" มักจะเป็นราคาที่ไปไม่ถึง หรือ ถ้าไปถึงก็จะเลยไปเลย ..."เพราะอะไร" -- ก็อย่างที่บอกครับ มนุษย์มีความโลภความกลัว ดังนั้น ราคาจะไม่ เคยหยุดอยู่ที่พื้นฐาน ...ในขาขึ้น นักลงทุนมักโลภ ก็แห่กันซื้อจนราคาเลยพื้นฐาน ...ส่วนขาลง นักลงทุนมักแห่ขายด้วยความกลัวจนราคาลงต่ำกว่าพื้นฐาน
ที่พูด มาเป็นเหตุผลหนึ่งที่ ที่นักวิเคราะห์ ก็อาจลดเป้าหมาย หรือ เพิ่มเป้าหมายได้ -- ดังนั้น "เป้าหมายของราคา (Target Price) มันไม่ใช่อะไรที่จะต้องตายตัว ..มันเป็นมุมมอง ที่ช่วยให้เราทราบคร่าวๆ เท่านั้น ว่า จากพื้นฐานธุรกิจ ยอดขาย กำไร รวมกันแล้ว หุ้นนั้นๆ ควรมีราคาเท่าไหร่แค่นั้นเอง" -- ส่วนการขึ้นลง ก็ไม่ใช่พื้นฐานกำหนด ..นักลงทุนต่างหากที่เอา "ความโลภ ความกลัวกำหนด" โดยมีพื้นฐานเป็น Guldeline บ้าง ก็เท่านั้นเอง
ต่อมา Beta คือ ความผันผวน ...ตัวไหน Beta มาก ก็มี Trade มัน ได้เสียเยอะ เพราะว่า "ผันผวน ก็แปลว่า มันแกว่งมากกว่าตลาด" (ถ้า Beta เท่ากับ1 ก็แปลว่า มันแกว่งตาม SET ...แต่ถ้าน้อยกว่า 1 ก็คือ แกว่งน้อยกว่าตลาด ..ถ้ามากกว่า 1 ก็แปลว่า แกว่งมากกว่าตลาด)
(12) PER กับ (12) EV/EBITDA .. ก็คือ การคำนวณค่า PE ในกรอบ 12 เดือน ..ส่วน EV/EBITDA ก็เป็นการหาค่า ความถูกแพงอีกวิธีนึง ...ก็ลองเทียบกันดู ...ว่าตัวไหน ที่เราชอบมากกว่า (เบื้องต้น PER (P/E) เป็นการ หาจำนวนปีที่คืนทุน ..เช่น PER = 10 เท่า ก็แปลง่ายๆ ว่า ถ้าซื้อหุ้นนี้ ที่ราคานี้ แล้วหุ้นมีกำไรต่อหุ้นเท่านี้ -- เขาก็บอกว่า ถ้าแบบนี้ คุณในฐานะเจ้าของ จะได้เงินลงทุนคืนในกี่ปี) -- พวกนี้ก็เป็นภาพ ที่เขามาประกอบอีกนั่นแหละครับ เพื่อเทียบว่า "ราคาหุ้น เมื่อเทียบกับ รายได้ของบริษัท ..มีความถูกหรือแพงอย่างไร" ....ก็นึกง่าย P/E 100 เท่า อย่าง Facebook ก็ 100 ปี คืนทุนน่ะ ...ราคาถึง มันส์กระจาย อย่างที่เขาหนีตายกัน...555
(12) P/BV ก็เป็นการหาความถูกแพง โดยใช้ "ราคาหุ้น เทียบกับ Book Value" ก็เทียบกับ Asset หักหนี้ออกไป ...ซึ่งค่านี้ ถ้าเท่ากับ 1 ก็เท่ากับว่าเรา กับ เจ้าของลงทุนเท่ากัน ...โดย มากถ้าไม่มีวิกฤต P/BV ควรมากกว่า 1 อยู่แล้ว เพราะ เจ้าของบริษัท เขาย่อมต้องลงทุนเพื่อให้ได้กำไรมากกว่า นักลงทุน (แนวคิดที่ว่า ก็คือ เขามองว่า นักลงทุน ไม่ใช่เจ้าของ ไม่ได้ลำบากมากับธุรกิจ การจะซื้อหุ้น ก็ควรจ่าย Premium นั่นเอง ดังนั้น โดยภาวะปกติ P/BV มันน่าจะมากกว่า 1) ...ค่านี้ ใช้ได้ดีในเวลา วิกฤตเศรษฐกิจ เพราะหุ้นทุกตัวจะลงมาต่ำ ...ตรงนี้จะทำให้เราเทียบหามูลค่า Asset จริงๆ ของกิจการ ...ยิ่งต่ำ ก็ยิ่งถูก!!
Dividend Yield ก็ คำนวณปันผล เทียบราคาหุ้น ... "ตรงนี้ เขาจะโชว์ให้ดูว่า ในเรื่องของปันผล(อย่างเดียว) ถ้าซื้อแล้วถือ มันเทียบกับ ดอกเบี้ยใน Asset ที่คุณถือที่อื่นๆ อย่างไร"
ครับ ก็ประมาณนี้ ..."นี่ก็เป็นอีก รายงานที่ Provide ภาพพื้นฐาน ของหุ้น ในแบบคร่าวๆ ช่วยในการตัดสินใจของเราได้" ...แต่ในส่วนจังหวะ ก็อย่างที่บอก ว่าคุณควรศึกษา Technical แล้ว อาศัย Technical ในการหาจังหวะ การซื้อขายต่อไป นั่นเอง!!



3-09-2012
วันนี้เริ่มเทรดค่าเงิน หลังจากที่ล้างพอต มาแล้ว 3 ครั้ง สู้ต่อไปอย่าให้เดือดร้อนก็พอ
เทคนิคเทรดง่ายๆ คือ
1. วินัย STOP LOSS
2. จุด TAKE PROFIT Take ไปยาวไป อยากใหญ่ใจต้องถึง
3. ต้อง MONEY Management ทฤษฎี ทบต้น ของ " ไอสไตร์ส"
4. ดูวิเคราะห์เลือกค่าเงินและดูแนวโน้วแท่งเทียน FIBO EMA เป็นหลักในการเข้าออก
คัดลอกมาไว้อ่านครับ
วันนี้เริ่มเทรดค่าเงิน หลังจากที่ล้างพอต มาแล้ว 3 ครั้ง สู้ต่อไปอย่าให้เดือดร้อนก็พอ
เทคนิคเทรดง่ายๆ คือ
1. วินัย STOP LOSS
2. จุด TAKE PROFIT Take ไปยาวไป อยากใหญ่ใจต้องถึง
3. ต้อง MONEY Management ทฤษฎี ทบต้น ของ " ไอสไตร์ส"
4. ดูวิเคราะห์เลือกค่าเงินและดูแนวโน้วแท่งเทียน FIBO EMA เป็นหลักในการเข้าออก
คัดลอกมาไว้อ่านครับ
"อ่าน
แล้วดี เลยเอามาแชร์กัน ของ อ.วรภัทร์ ... อาจารย์พูดในเรื่องของการ
จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด" -- สนับสนุนคนดี ทำตัวเองให้ดี
ไม่ตัดสินคนอื่น -- "สิ่งนี้แหละ ที่สังคมไทยต้องการ ในเวลานี้"
"จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด"
จุดตะเกียง ดีกว่า ด่าความมืด สำนวนนี้ ผมคิดว่า น่าจะเป็นสำนวนของจีน มีความหมายลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไ พศาลมาก
(๑) ในแง่ปฏิบัติ คือ ลงมือฝึก ลงมือปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอา จารย์ดีกว่าเอาเวลาไปตำหนิคนโน้ น ด่าคนนี้
(๒) คน "ติดดี" คือ คนที่หลงว่าตนเองดี แล้ว ไป "ตัดสิน" "พิพากษา"
คนอื่นๆว่าเลว ชั่ว ต่ำกว่าตน ซึ่งคนติดดีนี้แก้ยากจริงๆ คนติดดี จึงมัก
ทำตัวแบบ "ยกตนข่มท่าน"
(๓) เมื่อไฟดับ มัวแต่บ่นด่า
ไม่ลงมือทำอะไร ทำให้คนอื่นจิตตกไปด้วย สู้คิดแล้วทำทันทีดีกว่า จุดไฟ
จุดตะเกียงดีกว่า ความสว่างก็จะมาแทนความมืด
(๔) เมื่อเจอทุกข์ แทนที่จะ จมทุกข์ จมความคิด ก็ให้มาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า แก้ปัญหา อุปสรรคตรงหน้าก่อน คือ จุดไฟ จุดตะเกียง
(๕) คนๆหนึ่ง เขามีทั้งดีและเลว ปนกัน มองในแง่ดีของเขาบ้างเถิด คนบางคนอาจจะใกล้หมดกำลังใจแล้ว คำพูดดี ก็เปรียบเสมือน "จุดไฟ จุดตะเกียง" ในหัวใจเขา การไปด่า อาจจะทำให้ ความหวังสุดท้ายของเขาดับไปได้
(๖) นึกถึง คำสอน ของท่านพระอาจารย์พุทธทาส ที่ว่า " ใครดีใครชั่วช่างเขา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ "
(๗) นึกถึง คำสอนในหนังสือฝรั่งที่ "ใครขโมยเนยของฉันไป" หนูฝูงหนึ่ง
อาศัยอยู่ในรัง พวกมันเคยได้กินเนยมาตลอด อยู่มาวันหนึ่ง
คนเลี้ยงที่ให้เนยหยุดการให้เนย แก่หนู หนูบางตัวก็ออกจากรังไปหากินตาม ปกติ แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง แทนที่มันจะออกไปหากิน กลับตำหนิ ด่าหนูตัวอื่นๆว่า "ใครขโมยเนยของฉันไป"
(๘) นึกถึงพวก ในเว็ป ในโลก social media ที่เอาแต่อ่าน เอาแต่วิจารณ์ แต่
ไม่เคยออกไปทำอะไร ไม่เคยทำจริงๆ นึกเอง คิดเอง เออเอง ฝันเอาเอง แต่
ตำหนิคนอื่นๆเขาได้ พวกนี้ คือ พวก ด่าความมืด
(๙)
สังคมบ้านเรา ขาดการชม ขาดการให้กำลังใจที่ดี ชอบแซว
ชอบดับความหวังซึ่งกันและกัน มองแต่ด้านเสียของคนอื่น
ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรดีๆ ขึ้นมา
(๑๐) ถ้า Batman หรือ Heroes ของฝรั่งในหนัง มีคนเลวที่ไหน จะปรากฏตัว
ทำไมเราไม่ลองกลับกัน มีคนดีที่ไหน เราเข้าไป ส่งเสริม แชร์ ทำข่าว
ช่วยเหลือ ทั้งแบบง่าย น้อยๆ ไปจนมาก ตามกำลัง
ที่มา : http:// woraphat555.blogspot.com/
...อิ อิ แจ๋ว "ไม่มี Batman" ในโลกแห่งความจริง อ่ะนะ มีแต่ตัวเรา ความดีความชั่ว และ ผลการกระทำ ...สุดยอด!!
"อ่าน แล้วดี เลยเอามาแชร์กัน ของ อ.วรภัทร์ ... อาจารย์พูดในเรื่องของการ จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด" -- สนับสนุนคนดี ทำตัวเองให้ดี ไม่ตัดสินคนอื่น -- "สิ่งนี้แหละ ที่สังคมไทยต้องการ ในเวลานี้"
"จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด"
จุดตะเกียง ดีกว่า ด่าความมืด สำนวนนี้ ผมคิดว่า น่าจะเป็นสำนวนของจีน มีความหมายลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไ พศาลมาก
(๑) ในแง่ปฏิบัติ คือ ลงมือฝึก ลงมือปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอา จารย์ดีกว่าเอาเวลาไปตำหนิคนโน้ น ด่าคนนี้
(๒) คน "ติดดี" คือ คนที่หลงว่าตนเองดี แล้ว ไป "ตัดสิน" "พิพากษา" คนอื่นๆว่าเลว ชั่ว ต่ำกว่าตน ซึ่งคนติดดีนี้แก้ยากจริงๆ คนติดดี จึงมัก ทำตัวแบบ "ยกตนข่มท่าน"
(๓) เมื่อไฟดับ มัวแต่บ่นด่า ไม่ลงมือทำอะไร ทำให้คนอื่นจิตตกไปด้วย สู้คิดแล้วทำทันทีดีกว่า จุดไฟ จุดตะเกียงดีกว่า ความสว่างก็จะมาแทนความมืด
(๔) เมื่อเจอทุกข์ แทนที่จะ จมทุกข์ จมความคิด ก็ให้มาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า แก้ปัญหา อุปสรรคตรงหน้าก่อน คือ จุดไฟ จุดตะเกียง
(๕) คนๆหนึ่ง เขามีทั้งดีและเลว ปนกัน มองในแง่ดีของเขาบ้างเถิด คนบางคนอาจจะใกล้หมดกำลังใจแล้ว คำพูดดี ก็เปรียบเสมือน "จุดไฟ จุดตะเกียง" ในหัวใจเขา การไปด่า อาจจะทำให้ ความหวังสุดท้ายของเขาดับไปได้
(๖) นึกถึง คำสอน ของท่านพระอาจารย์พุทธทาส ที่ว่า " ใครดีใครชั่วช่างเขา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ "
(๗) นึกถึง คำสอนในหนังสือฝรั่งที่ "ใครขโมยเนยของฉันไป" หนูฝูงหนึ่ง
อาศัยอยู่ในรัง พวกมันเคยได้กินเนยมาตลอด อยู่มาวันหนึ่ง
คนเลี้ยงที่ให้เนยหยุดการให้เนย แก่หนู หนูบางตัวก็ออกจากรังไปหากินตาม ปกติ แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง แทนที่มันจะออกไปหากิน กลับตำหนิ ด่าหนูตัวอื่นๆว่า "ใครขโมยเนยของฉันไป"
(๘) นึกถึงพวก ในเว็ป ในโลก social media ที่เอาแต่อ่าน เอาแต่วิจารณ์ แต่ ไม่เคยออกไปทำอะไร ไม่เคยทำจริงๆ นึกเอง คิดเอง เออเอง ฝันเอาเอง แต่ ตำหนิคนอื่นๆเขาได้ พวกนี้ คือ พวก ด่าความมืด
(๙)
สังคมบ้านเรา ขาดการชม ขาดการให้กำลังใจที่ดี ชอบแซว
ชอบดับความหวังซึ่งกันและกัน มองแต่ด้านเสียของคนอื่น
ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรดีๆ ขึ้นมา
(๑๐) ถ้า Batman หรือ Heroes ของฝรั่งในหนัง มีคนเลวที่ไหน จะปรากฏตัว ทำไมเราไม่ลองกลับกัน มีคนดีที่ไหน เราเข้าไป ส่งเสริม แชร์ ทำข่าว ช่วยเหลือ ทั้งแบบง่าย น้อยๆ ไปจนมาก ตามกำลัง
ที่มา : http:// woraphat555.blogspot.com/
...อิ อิ แจ๋ว "ไม่มี Batman" ในโลกแห่งความจริง อ่ะนะ มีแต่ตัวเรา ความดีความชั่ว และ ผลการกระทำ ...สุดยอด!!
2-09-2012
- วันทำงานเช้าสุดท้าย แล้วก็หยุดพักผ่อน 555 สบายแฮ
- เกิดข้อคิดสกิดใจขึ้นว่า " ถ้าทำงานกินปัจจุบันไม่ดีพอ ก็อย่าหวังจะทำงานกินใหม่ที่ดีข้างหน้าได้ "
- เย็นๆ อาจจะมีนัดดริ้งที่บ้านพี่ปอง ย่างหมู 3 ชั้นกรอบ อันนี้ผมถนัดมาก
- ....สู้ต่อไป นักเดินทาง...แสวงหาอิสระภาพ แด่ .....
- การที่ทุกคนเปิดใจคุยกันเอาใจเขามาใส่ใจเรา การจะทำอะไรก็จะลุล่วงไปได้โดยง่าย ไอ้คำว่า
เปิดใจ 100% นี้แหละมันยาก เพราะคนเรารักตัวเองรักพวกพ้องโดยสันดาร นอกจากว่าเราไม่ใช่
" คน "
- เกิดข้อคิดสกิดใจขึ้นว่า " ถ้าทำงานกินปัจจุบันไม่ดีพอ ก็อย่าหวังจะทำงานกินใหม่ที่ดีข้างหน้าได้ "
- เย็นๆ อาจจะมีนัดดริ้งที่บ้านพี่ปอง ย่างหมู 3 ชั้นกรอบ อันนี้ผมถนัดมาก
- ....สู้ต่อไป นักเดินทาง...แสวงหาอิสระภาพ แด่ .....
- การที่ทุกคนเปิดใจคุยกันเอาใจเขามาใส่ใจเรา การจะทำอะไรก็จะลุล่วงไปได้โดยง่าย ไอ้คำว่า
เปิดใจ 100% นี้แหละมันยาก เพราะคนเรารักตัวเองรักพวกพ้องโดยสันดาร นอกจากว่าเราไม่ใช่
" คน "
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)